บทที่ี 10 อิสราเอลสมัยกรีกเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 331 - 65)
1. กรีกรวมพลังพิชิตโลก
ประวัติศาสตร์ได้มีการบันทึกเรื่องราวของชาวกรีกไว้นานแล้ว แต่พระคัมภีร์เพิ่งจะบันทึกเรื่องราวของกรีกก็ต่อเมื่อหลังจากกลับจากการเป็นเชลยแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ สมัยก่อนชาวกรีกไม่เข้มแข็งพอที่จะมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลก
นักวิชาการบางคนเชื่อว่าชาวฟีลิสเตียเดิมเป็นชาวกรีก แต่ถูกกรีกหลายกลุ่มที่มีอำนาจกว่าขับไล่ออกจากบ้านเมืองของตน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่า อิสราเอลพบกับชาวกรีกครั้งแรกเมื่อพวกเขาอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในปาเลสไตน์และมีการค้าขายซึ่งกันและกัน แต่การติดต่อครั้งสำคัญครั้งแรกเกิดขึ้นตอนปลายศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตศักราช ซึ่งครั้งนั้นนครต่าง ๆ ของกรีกรวมกันตั้งเป็นสันนิบาตนครรัฐที่มีอำนาจเข้มแข็งภายใต้การปกครองของผู้นำท่านหนึ่ง
ในปี ก.ค.ศ. 336 นครรัฐต่าง ๆ ของกรีกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ฟีลิปที่ 2 (Phillip II) แห่งมาซิโดเนีย และต่อมากรีกก็มีผู้นำคนใหม่คือ อเล็กซานเดอร์ (Alexander) ซึ่งเป็นโอรส พระองค์ทรงปกครองตั้งแต่ ก.ค.ศ. 336 - 323 โดยตลอดเวลาอเล็กซานเดอร์ ต้องเผชิญปัญหากับเปอร์เซีย พระองค์ทรงนำทัพไปสู้รบกับเปอร์เซีย จนกระทั่งถึงอียิปต์ ประชาชนที่นั่นพากันต้อนรับพระองค์ในฐานะผู้ปลดปล่อยพวกตนจากแอกของเปอร์เซีย อเล็กซานเดอร์รบชนะทุกแห่งที่พระองค์ยกทัพไป พระองค์ทรงทำลายจักรวรรดิเปอร์เซียลงภายในเวลาไม่ถึงสิบปี แล้วสร้างจักรวรรดิกรีกขึ้นมาแทน จักรวรรดินี้ครอบคลุมอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ทรงประชวรเป็นไข้และสิ้นพระชนม์ที่บาบิโลนในปี ก.ค.ศ. 323 เมื่อพระชนมายุ 32 ชันษา
หลังจากกษัตริย์อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์แล้วจักรวรรดิกรีกก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะไม่มีผู้ใดมีอำนาจพอที่จะรับช่วงการปกครองต่อจากพระองค์ ปี ก.ค.ศ. 301 มีรัฐใหม่เกิดขึ้นห้าแห่งคือ ที่มาซิโดเนีย เทร็ซ เอเชียไมเนอร์ผนวกกับฟีนิเซีย อียิปต์ผนวกกับปาเลสไตน์ และบาบิโลน ทอเลมี (Ptolemy) ปกครองอียิปต์โดยที่แม่ทัพคนอื่นเข้าแทรกแซงไม่มากนัก แต่ในที่อื่น ๆ มีการรบเพื่อแย่งชิงอำนาจกันเอง ในปีก.ค.ศ. 281 เซลูคัส (Seleucus) ผู้ครอบครองบาบิโลนรบชนะแม่ทัพอื่นอีกสามคน ในปีเดียวกันนั้นเซลูคัสก็ถูกสังหาร มาซิโดเนียจึงประกาศตัวเป็นอิสระจากการปกครองของผู้สืบทอดอำนาจต่อจากเซลูคัส ดังนั้นกรีกจึงยังมีอำนาจเหนือบริเวณสามแห่ง คือ ที่มาซิโดเนียซึ่งปกครองโดยอันทิโกนัส (Antigonus) ที่อียิปต์ปกครองโดยทอเลมี นอกนั้นปกครองโดยตระกูลเซลูคัส ซึ่งเรียกว่าราชวงศ์เซลูซิด (Seleucis) มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองอันทิโอกในแคว้นซีเรีย
อำนาจสามฝ่ายนี้ปกครองต่อไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 2 ก.ค.ศ. ตอนนั้นโรมกำลังเข้ามาแย่งชิงอำนาจควบคุมกิจการของโลกไปจากกรีก อันทิโอกัสที่ 3 พยายามที่จะเสริมอำนาจของตนโดยเข้ายึดแผ่นดินใหญ่ของกรีกแต่ก็ถูกกองทัพโรมขับไล่กลับมาและถูกบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกในปี ก.ค.ศ. 190
1. ศาสนาและวัฒนธรรมกรีกพวกกรีกเชื่อว่ามีเทพเจ้าหลายองค์สถิตอยู่บนภูเขาโอลิมปัส โดยมีเทพชื่อ "ซุส" (Zeus) เป็นประมุขพวกกรีกเชื่อว่าทวยเทพที่อยู่ที่โอลิมปัสนั้นนึกจะทำอะไรก็ทำได้โดยทันที ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่จะควบคุมความประพฤติของเทพเหล่านั้น
ชาวกรีกที่มีความคิดส่วนใหญ่จะปฏิเสธศาสนาและหันมาพึ่งพาความสามารถของมนุษย์ กรีกในสมัยนั้นมีชื่อเสียงเด่นกว่าชาติใด ๆ ทั้งในด้านของการศึกษา ความสามารถด้านศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และปรัชญา ในด้านศิลปกรรมนั้น ชาวกรีกได้พัฒนาทักษะการละคร การแกะสลักและจิตรกรรมขึ้นมา ในด้านวิทยาศาสตร์พวกเขาปูพื้นฐานวิชาเรขาคณิต วิศวกรรม ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ ส่วนในด้านปรัชญาก็พัฒนาความคิดเห็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์และสังคมมนุษย์ซึ่งยังคงมีอิทธิพลมาตราบทุกวันนี้
พวกกรีกนิยมชมชอบการอภิปราย เรื่องประชาธิปไตยและความยุติธรรมเป็นพิเศษ เมื่อใดที่มีการเอาเรื่องพระเจ้ามาในการอภิปราย พวกเขาก็มักจะถือว่าเรื่องนี้เป็นอุดมการณ์สมบูรณ์แบบซึ่งทุกคนควรแสวงหา
อเล็กซานเดอร์ผู้เป็นศิษย์อริสโตเติลนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของกรีกคงจะเชื่อว่า การเผยแพร่วัฒนาธรรมกรีกไปทั่วโลกเป็นวิธีที่ดีในการรับใช้มนุษยชาติ นโยบายเผยแพร่วัฒนธรรมกรีกนี้พวกผู้ปกครองชาวกรีกคนต่อ ๆ มารับไปทำอย่างต่อเนื่องแม้จักรวรรดิจะถูกแบ่งแยกเป็นรัฐต่าง ๆ แล้วก็ตาม
ทอเลมีและราชวงศ์ของพระองค์ที่อยู่ในอียิปต์ขยันขันแข็งในการสนับสนุนและส่งเสริมวัฒนธรรมกรีกเป็นพิเศษ อเล็กซานเดอร์สร้างเมืองใหม่แห่งหนึ่งคือเมืองอเล็กซานเดรีย ต่อมาเมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่ด้านวิชาการ มีนักปราชญ์คนสำคัญที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคน
2. พวกยิวต่อต้านวัฒนาธรรมกรีก
1. ยูดาห์ที่อยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ทอเลมีหลังจากที่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์แล้ว จักรวรรดิกรีกแบ่งออกเป็นหลายราชอาณาจักร ดินแดนส่วนหนึ่งของปาเลสไตน์ตกอยู่ใต้การปกครองของทอเลมี ตลอดระยะเวลาที่กรีกยังมีอำนาจเหนือกิจการต่างๆ ของโลกอยู่แต่สูญเสียอำนาจในการปกครองปาเลสไตน์ไปเมื่อปี ก.ค.ศ. 198 เมื่อพวกเซลูซิดยึดบริเวณนั้นไว้ในครอบครอง
ในช่วง125 ปีที่ราชวงค์ทอเลมีปกครองอยู่นั้น ชีวิตของผู้คนในปาเลสไตน์มีแต่ความสงบสุขและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก มหาปุโรหิตยังคงเป็นเป็นผู้มีอำนาจทั้งด้านการเมืองและด้านจิตวิญญาณของชาวยิว โดยได้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นในยูดาห์ต่อทอเลมี
พัฒนาการที่สำคัญยิ่งสำหรับยิวในช่วงนี้คือ ชุมชนชาวยิวได้เจริญแข็งแรงขึ้นในเมือง อเล็กซานเดรีย พวกยิวในอเล็กซานเดรียยอมรับวัฒนธรรมกรีกและเต็มใจนำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์สำหรับพวกตน เพียงแค่ไม่นานพวกไม่เขาสามารถพูดและอ่านภาษาบ้านเกิดของตนได้ ในที่สุดก็พบว่าการที่จะรักษามรดกทางประวัติศาสตร์และทางความเชื่อของตนเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจากพระธรรมต่างๆในพระคัมภีร์เขียนด้วยภาษาฮีบรู ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่อ่านไม่ออก
ต่อมา พวกผู้นำชาวยิวมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องแปลพระบัญญัติเป็นภาษากรีก จึงค่อยๆทยอยแปลพระคัมภีร์ (พันธสัญญาเดิม) ทั้งเล่มจนแล้วเสร็จ ในศตวรรษต่อมาพวกผู้นำชาวยิวที่ปาเลสไตน์ไม่ยอมรับหนังสือใหม่เหล่านี้ และไม่ยอมใส่ไว้ในพระคัมภีร์ฮีบรู พระคัมภีร์ที่แปลเป็นภาษากรีกเล่มนี้เรียกกันว่า "พระคัมภีร์ฉบับเซปตัวจินท์" (the Septuagint) เพราะตามตำนานบอกว่า มีนักปราชญ์จำนวนเจ็ดสิบสองคนช่วยกันแปล ประวัติศาสตร์ของยิวสมัยจักรวรรดิกรีกเกือบทั้งหมดได้มาจากหนังสือที่เรียกว่า "อะพ็อคริฟา" (the Apocripha) เล่มที่สำคัญที่สุดคือ 1 และ 2 แมคคาบี
2 .ยูดาห์อยู่ใต้การปกครองของเซลูซิดภายหลังจากที่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกแม่ทัพแย่งอำนาจการปกครองจักรวรรดิจนปี ก.ค.ศ. 198 อันทิโอกัสที่ 3 ในราชตระกูลเซลูคัสรบชนะอียิปต์ จึงยึดปาเลสไตน์ไว้ในอำนาจของตน ทีแรก ๆ พวกยิวก็ชื่นชมยินดีในการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะความเป็นอยู่ของประชาชนสบายขึ้น อันทิโอกัสที่ 3 ไม่เรียกเก็บภาษีจากประชาชน ต่อมาก็เรียกเก็บเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เก็บภาษีจากเจ้าหน้าที่ผู้ประกอบพิธีทางศาสนาและสมาชิกของสภาผู้ปกครอง และรัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมพระวิหาร แต่เมื่ออันทิโอกัสที่ 3 แพ้ชาวโรมัน อันทิโอกัสที่ 3 ก็กลับมาเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
เซลูคัสที่ 4 เป็นกษัตริย์ชาวกรีกองค์ต่อมาก็ยังช่วยเหลือพวกยิว แต่ก็เกิดแพ้การทดลอง นำเงินซึ่งพระวิหารเก็บไว้เป็นจำนวนมากไปใช้จ่ายส่วนตัว และเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองชาวกรีกกับเจ้าหน้าที่ของพระวิหาร
เวลาที่พวกยิวได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดคือ เมื่ออันทิโอกัสที่ 4 เป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงรับเงินสินบนจากยาโสน (Jason) ผู้ต้องการตำแหน่างมหาปุโรหิต โดยสัญญาว่าจะสนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมกรีกในแคว้นยูดาห์ พวกปุโรหิตละทิ้งหน้าที่ศาสนกิจไปให้ความสำคัญกับการกีฬา แต่ยาโสนมีอำนาจในตำแหน่งมหาปุโรหิตได้ไม่นานก็ถูกถอด มีชายอีกคนชื่อเมเนเลาส์ (Menelaus) ให้สินบนแก่อันทิโอกัสที่ 4 โดยคดโกงนำเงินในพระวิหารมาจ่ายเป็นค่าสินบน เมื่อมีคนทราบเรื่องดังกล่าว ก็จับเขาฆ่าเสีย
อีกสองปีต่อมา ความเดือดร้อนก็ประทุถึงขีดสุดเมื่ออันทิโอกัสที่ 4 นำทัพไปโจมตีอียิปต์อีก แต่ถูกโรมันเข้าแทรกแซงทำให้ต้องถอยทัพกลับมา อันทิโอกัสรู้สึกอับอายและแค้นพระทัยจึงระบายความแค้นด้วยการโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม ปล้นสดมภ์และทำลายกรุง ออกคำสั่งห้ามพวกยิวทำพิธีกรรมทางศาสนา ห้ามฉลองเทศกาลต่าง ๆ และเผาหนังสือธรรมบัญญัติที่มีอยู่ทั้งหมดให้สิ้นซาก ห้ามพวกยิวเข้าสุหนัต ผู้ใดขัดขืนมีโทษถึงตาย อันทิโอกัสที่ 4 พยายามทำลายทุกสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของยิว พระองค์คิดว่าถ้าบังคับให้พวกยิวรับวัฒนธรรมกรีกแล้ว พวกยิวจะสนับสนุนการปกครองของกรีก แต่ยิวบางคนไม่ยอมแพ้ จึงยอมสละชีวิตเพื่อแสดงถึงความเชื่อ การขัดขืนของยิวแสดงออกอย่างชัดเจนในเรื่องของปุโรหิตมัททาเธียส (Mattathias) ที่ถูกพวกกรีกบังคับให้กราบไหว้เทพเจ้าของกรีก ท่านไม่ยอมทำ แต่มีชายอีกคนเสนอตัวทำแทน ทำให้มัททาเธียสโกรธและฆ่าชายคนนั้นเสียจึงต้องหนีไปบนภูเขาพร้อมกับบุตรชายและตั้งกองทัพต่อสู้พวกกรีกที่นั่นในรูปของกองโจร ซุ่มโจมตีพวกกรีกจนได้รับความเดือดร้อน ภายหลังยูดาสหรืออีกชื่อคือ แมคคาเบียส ก็ขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา เมื่ออันทิโอกัสที่ 4 สิ้นพระชนม์ ยูดาสก็ฉวยโอกาสเข้ายึดปาเลสไตน์และบริเวณฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน พวกเฮสิดิม (พวกที่ต่อต้านวัฒนธรรมกรีก) พอใจในเสรีภาพในการนับถือศาสนาแต่ไม่สนใจการเมือง แต่ยูดาสยังคงต้องต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติตลอดเวลา ภายในสิบปีพวกแมคคาบีก็ยึดอำนาจคืนจากกรีกได้ ยิ่งพวกแมคคาบีเกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมืองและมีชัยชนะมากเท่าใด ก็ยิ่งถูกพวกเฮสิดิมต่อต้านมากเท่านั้น ความขัดแย้งของพวกฟาริสีและสะดูสีเริ่มมาจากจุดนี้ ยิวบางคนไม่ชอบใจที่ผู้นำชาติของตนสนใจแต่เรื่องฝ่ายโลก จึงแยกตัวออกไปตั้งกลุ่มอารามวาสี (monastic groups) อยู่ในทะเลทรายซึ่งกลายเป็นพวก "เอสซีน" (Essenes) ในภายหลัง
3. กลุ่มผู้ร่วมมือทางศาสนาและกลุ่มนักสู้เพื่อเสรีภาพ
เราได้ศึกษาเรื่องราวของจักรวรรดิต่าง ๆ ที่เรืองอำนาจขึ้นมาตามลำดับ ดังนี้ อัสซีเรีย บาบิโลน เปอร์เซีย และตอนนี้กำลังอยู่ในสมัยของจักรวรรดิกรีก ผู้นำของจักรวรรดิเหล่านี้มักจะหาทางทำให้ประชาชนที่อยู่ใต้การปกครองของตนเชื่อฟัง แต่ละจักรวรรดิก็มีวิธีแก้ปัญหาต่างกันออกไป ดังนี้
1. อัสซีเรีย อาศัยกำลังทางทหารเพื่อรักษาอำนาจการปกครองของตนไว้ให้มั่นคง นิยมใช้ความรุนแรงและด้วยการกวาดต้อนพวกผู้นำที่ต่อต้านการปกครองของอัสซีเรียไปอยู่ต่างแดน และเอาคนต่างชาติเข้ามาอยู่แทน
2. บาบิโลน ใช้วิธีสลายความจงรักภักดีที่ประชาชนมีต่อผู้ปกครองของตนและให้หันไปจงรักภักดีต่อบาบิโลนแทน พวกเขากวาดต้อนพวกผู้นำของชาติที่แพ้สงครามไปอยู่ในต่างแดน
3. เปอร์เซีย เชื่อเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับประชาชนที่ตนปกครองให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน ในการนับถือศาสนาและวัฒนธรรมของตน
4.กรีก แตกต่างจากจักรวรรดิอื่น คือ กรีกจะพยายามเผยแพร่วัฒนธรรมของตนให้แก่ประชาชนที่ตนพิชิตได้ เพื่อหวังว่าให้ประชาชนยอมรับการปกครองของตนได้ โดยการนำสิ่งใหม่ ๆ เข้าไป
พวกยิว มีปฏิกิริยาต่อการเผยแพร่วัฒนธรรมกรีก ดังต่อไปนี้
พวกปุโรหิตในกรุงเยรูซาเล็ม ส่วนใหญ่นิยมวัฒนธรรมของกรีกโดยสามารถนำวัฒนธรรมของกรีกมาผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมของตนเองได้ แต่ความจริงแล้วพวกปุโรหิตนี้มักจะแสวงหาอำนาจให้กับตนเองมากกว่า เมื่อพวกใดมีอำนาจขึ้นมา ก็จะหันไปฝักใฝ่ฝ่ายนั้น ในที่สุดพวกปุโรหิตจึงตั้งคณะสะดูสีขึ้นมา
พวกเฮสิดิม เต็มใจยอมรับให้มีการเผยแพร่วัฒนธรรมกรีก ตราบเท่าที่วัฒนธรรมนั้นไม่เข้ามาแทรกแซงความเชื่อของพวกยิว พวกนี้ต่อต้านอันทิโอกัสอีปิฟาเนสที่ต้องการทำลายยูดาห์ จึงเข้าร่วมกับพวกแมคคาบี แต่เมื่อยิวได้รับเสรีภาพในการนับถือศาสนาแล้ว ก็ไม่สนับสนุนพวกแมคคาบีอีก พวกเฮสิดิมนี้ไม่ฝักใฝ่อำนาจทางการเมืองด้วยวิธีฝ่ายโลก และภายหลังพวกนี้กลายเป็นคณะฟาริสีในสมัยพันธสัญญาใหม่
พวกแมคคาบี ต่อต้านการปกครองของกรีกและการบังคับให้ยอมรับวัฒนธรรมกรีก
พวกเอสซีน เป็นกลุ่มชาวยิวที่เคร่งศาสนาซึ่งไม่พอใจวิธีที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนในการเมือง พวกนี้เชื่อว่าแผ่นดินของพระเจ้าไม่มีทางจะตั้งขึ้นในโลกด้วยวิธีทางการเมือง จึงแยกตนเองออกจากโลก ตั้งอารามเพื่อศึกษาพระวจนะของพระเจ้า ไม่ยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับฝ่ายโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น