1. ความสำคัญของประวัติศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์ของพันธสัญญาเดิมช่วยให้เราสามารถตอบคำถามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะอ่านพระคัมภีร์ เช่น เมื่อเปิดพระธรรมอิสยาห์บทที่ 1 อ่านเราจะพบรายชื่อของกษัตริย์หลายองค์ที่ปกครองประเทศยูดาห์ในช่วงเวลาที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ทำงาน คือ อุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์ การศึกษาประวัติศาสตร์ของอิสราเอลจะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์ดังกล่าวได้ดีขึ้น ความรู้ทางประวัติศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจว่าใครคือผู้ที่รุกรานราชอาณาจักรยูดาห์ และทำไมอิสยาห์จึงเปรียบเปรยราชอาณาจักรยูดาห์ว่าเหมือนกับเมืองโสโดมและโกโมราห์ หลายคนคงอยากรู้ว่าทำไมสิ่งเหล่านี้จึงสำคัญนักหนา ในเมื่อมันเกิดขึ้นมานานแล้ว จนดูเหมือนไม่มีผลกระทบต่อเราในสมัยปัจจุบันที่อยู่ห่างไกลจากประเทศปาเลสไตน์ลิบลับ คำตอบก็คือ ที่เราอ่านพระคัมภีร์นั้นก็เพราะพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่คริสต์จักรศึกษาเพื่อแสงหาน้ำพระทัยและสั่งสอนสมาชิกสืบทอดเสมอมา และสิ่งที่เราสนใจก็คือพระวจนะของพระเจ้าตรัสอะไรกับเราที่ดำรงชีวิตอยู่ในเวลา
พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่อิสราเอล
พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้มนุษย์รู้จักผ่านทางเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์และในชีวิตของชนชาติพิเศษชาติหนึ่ง ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์พูดถึงบุคคล สถานที่ และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อให้พวกอิสราเอลเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองให้มนุษย์ได้รู้จักพระองค์ ท่านพูดในฐานะที่ท่านเองมีส่วนในประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ ท่านจึงได้รู้และเข้าใจวิถีทางต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำแก่มนุษย์ โดยประสบการณ์ท่านจึงสามารถตีความเรื่องเหล่านั้นให้ประชาชนในสมัยของท่านทราบ
คำพูดที่ว่า "พระเจ้าทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล" มีความหมายไม่เหมือนกับที่ชนชาติอื่นเข้าใจ อิสราเอลเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นพิเศษ เพื่อจะทรงสำแดงให้ชนชาติอื่นได้รู้จักพระองค์ สิ่งที่อิสยาห์ประณามอิสราเอลก็มีความหมายพิเศษ เพราะท่านประณามพวกเขาในฐานะที่เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้รับผิดชอบหน้าที่พิเศษนี้ แต่พวกเขากลับทอดทิ้งพระองค์ แผนการของพระเจ้าที่จะช่วยชนชาติทั้งปวงต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะความไม่เชื่อฟังของพวกอิสราเอล
เตรียมการให้พร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระคริสต์
บางคนอาจจะถามว่า "ทำไมพระเจ้าจึงทรงชักช้ากว่าจะส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดในโลกนี้ จำเป็นนักหรือที่อิสราเอลต้องผ่านประวัติศาสตร์ยาวนานสองพันปีเสียก่อน จึงจะเข้าใจและเห็นความสำคัญของการที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาอยู่ท่ามกลางพวกเขา"
คำตอบก็คือ ประชาชนจำเป็นต้องรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมา ถ้าไม่มีการเตรียมการให้พร้อม ก็จะไม่สามารถเข้าใจพระดำรัสและพันธกิจของพระองค์ พระเยซูทรงสามารถนำความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าที่พวกอิสราเอลมีอยู่เป็นพื้นฐานสำหรับสอนขั้นต่อ ๆไป
อิสราเอลกับตัวเรา
เราก็เหมือนกับพวกอิสราเอลอยู่หลายอย่าง คือเราจับความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า มนุษย์ และโลกได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เราจึงจำเป็น ต้องขอการทรงนำจากพระวิญญาณของพระเจ้า เพื่อช่วยเราให้เข้าใจวิถีทางของพระองค์มากยิ่งขึ้น บางครั้งเราจะพบได้ว่าประสบการณ์ในชีวิตของเรา สอนเราให้รู้ความจริงที่ล้ำลึกแต่บางครั้งประสบการณ์ของผู้อื่นก็เป็นประโยชน์แก่เราด้วย ถ้าเราพยายามเอาตัวเราเข้าไปในประสบการณ์เดียวกันกับที่พวกอิสราเอลประสบอยู่ เราก็สามารถเริ่มต้นเข้าไปมีส่วนในความรู้แจ้งถึงความจริงล้ำลึกของพวกเขาได้ ผลที่ตามมาก็คือ เราจะได้เข้าใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น
พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่อิสราเอล
พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้มนุษย์รู้จักผ่านทางเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์และในชีวิตของชนชาติพิเศษชาติหนึ่ง ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์พูดถึงบุคคล สถานที่ และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อให้พวกอิสราเอลเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองให้มนุษย์ได้รู้จักพระองค์ ท่านพูดในฐานะที่ท่านเองมีส่วนในประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ ท่านจึงได้รู้และเข้าใจวิถีทางต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำแก่มนุษย์ โดยประสบการณ์ท่านจึงสามารถตีความเรื่องเหล่านั้นให้ประชาชนในสมัยของท่านทราบ
คำพูดที่ว่า "พระเจ้าทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล" มีความหมายไม่เหมือนกับที่ชนชาติอื่นเข้าใจ อิสราเอลเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นพิเศษ เพื่อจะทรงสำแดงให้ชนชาติอื่นได้รู้จักพระองค์ สิ่งที่อิสยาห์ประณามอิสราเอลก็มีความหมายพิเศษ เพราะท่านประณามพวกเขาในฐานะที่เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้รับผิดชอบหน้าที่พิเศษนี้ แต่พวกเขากลับทอดทิ้งพระองค์ แผนการของพระเจ้าที่จะช่วยชนชาติทั้งปวงต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะความไม่เชื่อฟังของพวกอิสราเอล
เตรียมการให้พร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระคริสต์
บางคนอาจจะถามว่า "ทำไมพระเจ้าจึงทรงชักช้ากว่าจะส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดในโลกนี้ จำเป็นนักหรือที่อิสราเอลต้องผ่านประวัติศาสตร์ยาวนานสองพันปีเสียก่อน จึงจะเข้าใจและเห็นความสำคัญของการที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาอยู่ท่ามกลางพวกเขา"
คำตอบก็คือ ประชาชนจำเป็นต้องรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมา ถ้าไม่มีการเตรียมการให้พร้อม ก็จะไม่สามารถเข้าใจพระดำรัสและพันธกิจของพระองค์ พระเยซูทรงสามารถนำความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าที่พวกอิสราเอลมีอยู่เป็นพื้นฐานสำหรับสอนขั้นต่อ ๆไป
อิสราเอลกับตัวเรา
เราก็เหมือนกับพวกอิสราเอลอยู่หลายอย่าง คือเราจับความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า มนุษย์ และโลกได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เราจึงจำเป็น ต้องขอการทรงนำจากพระวิญญาณของพระเจ้า เพื่อช่วยเราให้เข้าใจวิถีทางของพระองค์มากยิ่งขึ้น บางครั้งเราจะพบได้ว่าประสบการณ์ในชีวิตของเรา สอนเราให้รู้ความจริงที่ล้ำลึกแต่บางครั้งประสบการณ์ของผู้อื่นก็เป็นประโยชน์แก่เราด้วย ถ้าเราพยายามเอาตัวเราเข้าไปในประสบการณ์เดียวกันกับที่พวกอิสราเอลประสบอยู่ เราก็สามารถเริ่มต้นเข้าไปมีส่วนในความรู้แจ้งถึงความจริงล้ำลึกของพวกเขาได้ ผลที่ตามมาก็คือ เราจะได้เข้าใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น
2. เรารู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ในวิชา ทศ. 122 แนะนำพันธสัญญาเดิม 2 เราจะศึกษาถึงประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลซึ่งมีความสำคัญสำหรับคริสต์ชนมาก เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองและพระประสงค์ของพระองค์ให้มนุษย์ชาติรู้โดยผ่านทางเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชนชาตินี้ จึงสำคัญมากที่เราจะศึกษาเหตุการณ์เหล่านั้นเพื่อจะได้เข้าใจประสบการณ์ของอิสราเอล และร่วมรับรู้เรื่องลี้ลับเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขา มีหลักฐานที่จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศอิสราเอลดังนี้
บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์
พระคัมภีร์บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในพันธสัญญาเดิมมีอยู่สองเรื่อง คือ
ก. เรื่องการอพยพ เป็นเหตุการณ์ตอนที่อิสราเอลอพยพออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ข. การเป็นเชลย เป็นเหตุการณ์เมื่อพวกอิสราแพ้สงคราม และพวกผู้นำที่มีความรู้ความสามารถถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่ประเทศบาบิโลน
นักวิชาการส่วนใหญ่ยอมรับว่า ในพระคัมภีร์มีบันทึกการเล่าเรื่องแตกต่างกันสามประเภท คือ "ศาสนนิยาย " (myths) "นิทานโบราณคดี" (legends) และ "ประวัติศาสตร์" (history) ทั้งสามประเภทนี้มีความแตกต่างกันดังนี้
1. ศาสนนิยาย (Myth) คือเรื่องที่ประชาชนอิสราเอลสมัยโบราณประพันธ์ขึ้นเพื่อพยายามอธิบายเรื่องราวของชีวิตเท่าที่พวกเขารู้ เรื่องดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์จริงที่อยู่ในความทรงจำของประชาชน เช่นในปฐมกาลบทที่ 1 ย่อมไม่ใช่บันทึกสิ่งที่ประชาชนจำมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพราะตามท้องเรื่องแล้วพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ที่หลังสุด ในพระธรรมปฐมกาลมีหลายเรื่องที่นักวิชาการส่วนใหญ่ถือว่าเป็นศาสนนิยาย เช่น เรื่องอาดัม เอวา และงู เรื่องโนอาห์กับน้ำท่วมโลก และเรื่องหอบาเบล ที่เรื่องเหล่านี้มีคุณค่าก็เพราะเป็นเรื่องที่สอนสัจธรรมสำคัญ ๆ เกี่ยวกับมนุษย์ และวิถีทางต่าง ๆ ของพระเจ้า ศาสนนิยายไม่ใช่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์
2. นิทานโบราณคดี (Legens) เป็นเรื่องราวของเหตุการณ์จริงที่อนุรักษ์ไว้โดยวิธีจำและเล่าสืบปากกันมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปีจึงได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
3. ประวัติศาสตร์ (History) เป็นเรื่องราวของเหตุการณ์จริงในอดีต และถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วไม่นาน ขณะประชาชนที่จำเหตุการณ์ได้ยังมีชีวิตอยู่
แหล่งความรู้อื่น ๆ
เราจะได้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอิสราเอลจากแหล่งอื่น ๆ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ เช่นการศึกษาโบราณคดี วิชาโบราณคดีเป็นการศึกษาค้นคว้าวัตถุโบราณและโบราณสถานที่ยังหลงเหลืออยู่ โบราณคดีในพระคัมภีร์เป็นการศึกษาค้นคว้าโบราณสถานและโบราณวัตถุที่หลงเหลืออยู่ในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ การศึกษาค้นคว้าของนักโบราณคดีพบว่ามีวัตถุสิ่งของมากมายหลายชนิดที่ประดิษฐ์ขึ้นและใช้สอยกันในสมัยต่าง ๆ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์ เมื่อนักโบราณคดีขุดเปิดหน้าดินก็เห็นกำแพง ประตูเมือง ฐานของบ้านเรือน โรงสัตว์ ราชวัง และเมื่อสำรวจแหล่งน้ำ ยุ้งฉางและสุสาน ก็พบวัตถุโบราณขนาดเล็ก เช่น เหรียญ เครื่องชั่ง และของเล่นต่าง ๆ สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดเห็นจะได้แก่การค้นพบบันทึกที่มีผู้เขียนไว้ เช่น จดหมายที่เขียนบนกระดาษปาปิรัส บนแผ่นไม้ บนผ้าไหม หรือหนังสัตว์
ในวิชา ทศ. 122 แนะนำพันธสัญญาเดิม 2 เราจะศึกษาถึงประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลซึ่งมีความสำคัญสำหรับคริสต์ชนมาก เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองและพระประสงค์ของพระองค์ให้มนุษย์ชาติรู้โดยผ่านทางเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชนชาตินี้ จึงสำคัญมากที่เราจะศึกษาเหตุการณ์เหล่านั้นเพื่อจะได้เข้าใจประสบการณ์ของอิสราเอล และร่วมรับรู้เรื่องลี้ลับเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขา มีหลักฐานที่จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศอิสราเอลดังนี้
บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์
พระคัมภีร์บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในพันธสัญญาเดิมมีอยู่สองเรื่อง คือ
ก. เรื่องการอพยพ เป็นเหตุการณ์ตอนที่อิสราเอลอพยพออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ข. การเป็นเชลย เป็นเหตุการณ์เมื่อพวกอิสราแพ้สงคราม และพวกผู้นำที่มีความรู้ความสามารถถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่ประเทศบาบิโลน
นักวิชาการส่วนใหญ่ยอมรับว่า ในพระคัมภีร์มีบันทึกการเล่าเรื่องแตกต่างกันสามประเภท คือ "ศาสนนิยาย " (myths) "นิทานโบราณคดี" (legends) และ "ประวัติศาสตร์" (history) ทั้งสามประเภทนี้มีความแตกต่างกันดังนี้
1. ศาสนนิยาย (Myth) คือเรื่องที่ประชาชนอิสราเอลสมัยโบราณประพันธ์ขึ้นเพื่อพยายามอธิบายเรื่องราวของชีวิตเท่าที่พวกเขารู้ เรื่องดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์จริงที่อยู่ในความทรงจำของประชาชน เช่นในปฐมกาลบทที่ 1 ย่อมไม่ใช่บันทึกสิ่งที่ประชาชนจำมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพราะตามท้องเรื่องแล้วพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ที่หลังสุด ในพระธรรมปฐมกาลมีหลายเรื่องที่นักวิชาการส่วนใหญ่ถือว่าเป็นศาสนนิยาย เช่น เรื่องอาดัม เอวา และงู เรื่องโนอาห์กับน้ำท่วมโลก และเรื่องหอบาเบล ที่เรื่องเหล่านี้มีคุณค่าก็เพราะเป็นเรื่องที่สอนสัจธรรมสำคัญ ๆ เกี่ยวกับมนุษย์ และวิถีทางต่าง ๆ ของพระเจ้า ศาสนนิยายไม่ใช่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์
2. นิทานโบราณคดี (Legens) เป็นเรื่องราวของเหตุการณ์จริงที่อนุรักษ์ไว้โดยวิธีจำและเล่าสืบปากกันมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปีจึงได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
3. ประวัติศาสตร์ (History) เป็นเรื่องราวของเหตุการณ์จริงในอดีต และถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วไม่นาน ขณะประชาชนที่จำเหตุการณ์ได้ยังมีชีวิตอยู่
แหล่งความรู้อื่น ๆ
เราจะได้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอิสราเอลจากแหล่งอื่น ๆ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ เช่นการศึกษาโบราณคดี วิชาโบราณคดีเป็นการศึกษาค้นคว้าวัตถุโบราณและโบราณสถานที่ยังหลงเหลืออยู่ โบราณคดีในพระคัมภีร์เป็นการศึกษาค้นคว้าโบราณสถานและโบราณวัตถุที่หลงเหลืออยู่ในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ การศึกษาค้นคว้าของนักโบราณคดีพบว่ามีวัตถุสิ่งของมากมายหลายชนิดที่ประดิษฐ์ขึ้นและใช้สอยกันในสมัยต่าง ๆ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์ เมื่อนักโบราณคดีขุดเปิดหน้าดินก็เห็นกำแพง ประตูเมือง ฐานของบ้านเรือน โรงสัตว์ ราชวัง และเมื่อสำรวจแหล่งน้ำ ยุ้งฉางและสุสาน ก็พบวัตถุโบราณขนาดเล็ก เช่น เหรียญ เครื่องชั่ง และของเล่นต่าง ๆ สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดเห็นจะได้แก่การค้นพบบันทึกที่มีผู้เขียนไว้ เช่น จดหมายที่เขียนบนกระดาษปาปิรัส บนแผ่นไม้ บนผ้าไหม หรือหนังสัตว์
3. มองประวัติศาสตร์อิสราเอลอย่างกว้าง ๆ
ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นเรื่องยาว บางครั้งก็ซับซ้อนมาก ในวิชานี้เราจะศึกษาเรื่องราวที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้พวกอิสราเอลรู้จักเฉพาะเวลาที่ปรากฏในพันธสัญญาเดิม
แผนภูมิแสดงประวัติศาสตร์อิสาราเอลในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ แผ่นที่ 2 จัดประวัติศาสตร์อิสราเอลไว้ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เริ่มตั้งแต่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำเมื่อประมาณ ก.ค.ศ. 10,000 และจบลงในสมัยของเราซึ่งใกล้ ค.ศ. 2000 รวมประวัติศาสตร์ทั้งหมด 12,000 ปี แต่ประวัติศาสตร์อิสราเอลมีเพียงหนึ่งในหกของระยะเวลาดังกล่าว คือตั้งแต่ ก.ค.ศ. 2000 จนถึงเวลาหลังจากที่พระเยซูคริสต์ประสูติเล็กน้อย แผนภูมิแสดงประวัิติศาสตร์ิิอิสราเอลกว้าง แผ่นที่ 1 แบ่งประวัติศาสตร์ในพันธสัญญาเดิมเป็นตอนสำคัญ ๆ 10 ตอน
ต่อไปนี้เป็นสังเขปความทั้งสิบบทของวิชานี้ ซึ่งจะช่วยให้เรามองเห็นภาพทั้งหมดของประวัติศาสตร์อิสราเอลได้อย่างคร่าว ๆ
บทที่ 1 บรรพชนต้นตระกูลอิสราเอล (ประมาณ ก.ค.ศ. 200-1550)
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้เป็นช่วงที่ประชาชนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์กำลังแสวงหาที่สำหรับตั้งถิ่นฐานเพื่อทำมาหากิน ในบรรดาคนเหล่านั้นมีอับราฮัมและเชื้อสายของท่านคือ อิสอัค เอซาว ยาโคบ และบุตรชายสิบสองคนของยาโคบซึ่งมีโยเซฟรวมอยู่ด้วย พวกเขาอพยพออกจากเมโสโปเตเมียไปยังปาเลสไตน์และอียิปต์ หลังจาก ก.ค.ศ. 1550 อียิปต์สามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาจากชนชาติเร่ร่อนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน พวกอิสราเอลจึงกลายเป็นทาสในประเทศอียิปต์
บทที่ 2 การอพยพ (ประมาณ ก.ค.ศ. 1550-1250)
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้อียิปต์มีอำนาจมาก สามารถควบคุมดินแดนปาเลสไตน์ได้ ส่วนใหญ่เชื้อสายของอับราฮัมตกเป็นทาสในอียิปต์ ต่อมาโมเสสได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ไปภูเขาซีนาย ที่นั้นพวกเขาได้ทำพันธสัญญากับพระเจ้า และได้รับพระบัญญัติสิบประการซึ่งเป็นแนวทางสำหรับการรับใช้พระเจ้าและปฏิบัติต่อกันและกัน
บทที่ 3 อิสราเอล 12 เผ่า (ประมาณ ก.ค.ศ.1250-1000)
ช่วงนี้ประเทศอียิปต์อ่อนกำลังลงจนแทบไม่มีอำนาจควบคุมปาเลสไตน์ คนเผ่าเร่ร่อนหลายเผ่ารวมทั้งอิสราเอลกำลังต่อสู้กันเพื่อช่วงชิงอำนาจปกครองแผ่นดินปาเลสไตน์ โยชูวานำอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินปาเลสไตน์ มีผู้วินิจฉัยจำนวนหนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นผู้นำทำหน้าที่ช่วยเหลือพวกเขาเมื่อเกิดความขัดแย้งกับคนต่างชาติ ซึ่งมีพวกฟีลิสเตียเป็นคู่อริที่อันตรายที่สุด
บทที่ 4 กษัตริย์องค์แรกๆ ของอิสราเอล (ประมาณ ก.ค.ศ. 1000-922)
ช่วงนี้พวกฟีลิสเตียเป็นเผ่าที่คุกคามอิสราเอลอย่างหนัก ไม่มีผู้วินิจฉัยคนใดสามารถยับยั้งพวกฟีลิสเตียที่กำลังเข้าคุกคามดินแดนของพวกอิสราเอลได้ ซามูเอลจึงเลือกซาอูลและดาวิดให้เป็นกษัตริย์ของพวกอิสราเอลโดยให้กษัตริย์เป็นผู้สร้างกองทัพเพื่อพิชิตดินแดนปาเลสไตน์ กษัตริย์ซาอูลล้มเหลว แต่กษัตริย์ดาวิดประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง สามารถเอาชนะพวกฟีลิสเตียและราชอาณาจักรต่าง ๆ ที่อยู่รอบๆ ปาเลสไตน์ ยุคนี้เป็นยุคที่อิสราเอลมีอำนาจสูงสุด กษัตริย์ซาโลมอนโอรสของดาวิดได้สร้างพระวิหารและอาคารต่าง ๆ มากมายที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่ก็เก็บภาษีประชาชนอย่างหนัก
บทที่ 5 สองราชอาณาจักร (ประมาณ ก.ค.ศ. 922-802)
หลังจากที่ซาโลมอนสิ้นพระชนม์แล้วก็เกิดสงครามกลางเมืองในอิสราเอล ทำให้ราชอาณาจักรถูกแบ่งเป็นสองส่วน ราชอาณาจักรยูดาห์อยู่ด้านใต้ปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์ดาวิด ราชอาณาจักรอิสราเอลอยู่ด้านเหนือปกครองโดยกษัตริย์ที่พวกผู้เผยพระวจนะเป็นผู้เลือกสรร
บทที่ 6 สมัยจักรวรรดิอัสซีเรียเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 802-610)
ช่วงต้นของบทนี้ไม่มีชาติใดที่มีอำนาจมากพอที่จะเข้าควบคุมอิสราเอล ทั้งสองราชอาณาจักรจึงมีสันติสุขและเจริญรุ่งเรือง แต่ผู้เผยพระวจนะอาโมสและโฮเชยาประณามความอยุติธรรมในสังคม ท่านทั้งสองเตือนภัยที่กำลังจะมาถึง กษัตริย์องค์ใหม่ของอัสซีเรียขึ้นครองอำนาจ และสามารถพิชิตราชอาณาจักรอิสราเอลได้เมื่อ ก.ค.ศ. 721 ประชาชนถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ส่วนราชอาณาจักรยูดาห์ยอมจำนน แต่ก็ก่อการกบฏบ่อยครั้งแต่ก็ถูกอัสซีเรียควบคุมไว้ได้ โดยที่อียิปต์ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ขอร้องให้ประชาชนวางใจในพระเจ้า
บทที่ 7 สมัยจักรวรรดิบาบิโลนเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 610-539)
หลังจากนั้นอัสซีเรียก็อ่อนอำนาจลง ถูกสามประเทศรุกราน คืออียิปต์ มีเดีย และบาบิโลน เมื่ออัสซีเรียพ่ายแพ้จักรวรรดิก็ถูกแบ่งปันกัน อียิปต์พยายามกลับมาควบคุมปาเลสไตน์อีกแต่ก็พ่ายแพ้บาบิโลนที่คาร์เคมิช (ก.ค.ศ. 605) ยูดาห์พยายามเรียกร้องเอกราชของตน แต่ก็พ่ายแพ้บาบิโลน (ก.ค.ศ. 597) หลังจากยูดาห์เป็นกบฏบาบิโลนก็บุกโจมตีอีก (ก.ค.ศ. 587) และทำลายกรุงเยรูซาเล็มพร้อมทั้งพระวิหารพังพินาศ พวกผู้นำของยูดาห์ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน
บทที่ 8 สมัยจักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 539-331 )
ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียพิชิตบาบิโลนได้เมื่อ ก.ค.ศ. 539 พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกยิวกลับไปยูดาห์เพื่อสร้างพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ เกิดความยุ่งยากหลายอย่าง กว่าจะสร้างสำเร็จได้ก็ล่วงเลยไปถึงปี ก.ค.ศ. 516 ในปี ก.ค.ศ. 445 เนหะมีย์ได้รับอนุญาตให้กลับไปยูดาห์เพื่อซ่อมแซมกำแพงเมืองและสถาปนามณฑลยูดาห์ ประมาณ ก.ค.ศ. 397 เอสราเดินทางจากบาบิโลนพร้อมกับหนังสือห้าเล่มแรกของพันสัญญาเดิม ซึ่งเป็นหนังสือที่ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของอิสราเอล
บทที่ 9 สมัยจักรวรรดิกรีกเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 331-65)
อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งประเทศกรีกพิชิตเปอร์เซียได้ หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์กรีกก็ยังปกครองต่อไป ปี ก.ค.ศ. 323-198 ทอเลมีราชวงค์กรีกซึ่งอยู่ที่อียิปต์มีอำนาจปกครองพวกยิว ในปี ก.ค.ศ. 198 เซลูคัสเข้าควบคุมปาเลสไตน์ กษัตริย์อันทิโอกที่ 4 พยายามทำลายศาสนายิว บังคับให้ปฏิบัติตามธรรมเนียมกรีก ยิวกลุ่มหนึ่งเรียกว่าพวกแมคคาบีได้นำประชาชนต่อต้าน ในที่สุดก็สามารถเลือกกษัตริย์ของพวกตนขึ้นปกครองยูดาห์
บทที่ 10 สมัยจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 65 - ค.ศ. 70)
ความขัดแย้งเกิดขึ้นท่ามกลางพวกแมคคาบี พวกเขาจึงเชิญพวกโรมันมาตัดสินว่าจะเลือกใครเป็นกษัตริย์ พวกโรมันแต่งตั้งอันทิปาสให้เป็นผู้ปกครองยูดาห์ และเฮโรดมหาราชเป็นกษัตริย์องค์แรกที่ปกครองปาเลสไตน์ พระเยซูคริสต์ประสูติในรัชกาลนี้ คริสเตียนเกิดขึ้นจากชีวิตและพันธกิจของพระเยซูคริสต์ ชาวยิวต่อต้านคริสต์ศาสนาและขอร้องชาวโรมันให้ทำลายเสีย ภายหลังยิวก่อการกบฏ จึงถูกลงโทษด้วยการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม รัฐยิวจึงถึงกาลอวสาน (ค.ศ. 70)
ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นเรื่องยาว บางครั้งก็ซับซ้อนมาก ในวิชานี้เราจะศึกษาเรื่องราวที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้พวกอิสราเอลรู้จักเฉพาะเวลาที่ปรากฏในพันธสัญญาเดิม
แผนภูมิแสดงประวัติศาสตร์อิสาราเอลในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ แผ่นที่ 2 จัดประวัติศาสตร์อิสราเอลไว้ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เริ่มตั้งแต่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำเมื่อประมาณ ก.ค.ศ. 10,000 และจบลงในสมัยของเราซึ่งใกล้ ค.ศ. 2000 รวมประวัติศาสตร์ทั้งหมด 12,000 ปี แต่ประวัติศาสตร์อิสราเอลมีเพียงหนึ่งในหกของระยะเวลาดังกล่าว คือตั้งแต่ ก.ค.ศ. 2000 จนถึงเวลาหลังจากที่พระเยซูคริสต์ประสูติเล็กน้อย แผนภูมิแสดงประวัิติศาสตร์ิิอิสราเอลกว้าง แผ่นที่ 1 แบ่งประวัติศาสตร์ในพันธสัญญาเดิมเป็นตอนสำคัญ ๆ 10 ตอน
ต่อไปนี้เป็นสังเขปความทั้งสิบบทของวิชานี้ ซึ่งจะช่วยให้เรามองเห็นภาพทั้งหมดของประวัติศาสตร์อิสราเอลได้อย่างคร่าว ๆ
บทที่ 1 บรรพชนต้นตระกูลอิสราเอล (ประมาณ ก.ค.ศ. 200-1550)
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้เป็นช่วงที่ประชาชนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์กำลังแสวงหาที่สำหรับตั้งถิ่นฐานเพื่อทำมาหากิน ในบรรดาคนเหล่านั้นมีอับราฮัมและเชื้อสายของท่านคือ อิสอัค เอซาว ยาโคบ และบุตรชายสิบสองคนของยาโคบซึ่งมีโยเซฟรวมอยู่ด้วย พวกเขาอพยพออกจากเมโสโปเตเมียไปยังปาเลสไตน์และอียิปต์ หลังจาก ก.ค.ศ. 1550 อียิปต์สามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาจากชนชาติเร่ร่อนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน พวกอิสราเอลจึงกลายเป็นทาสในประเทศอียิปต์
บทที่ 2 การอพยพ (ประมาณ ก.ค.ศ. 1550-1250)
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้อียิปต์มีอำนาจมาก สามารถควบคุมดินแดนปาเลสไตน์ได้ ส่วนใหญ่เชื้อสายของอับราฮัมตกเป็นทาสในอียิปต์ ต่อมาโมเสสได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ไปภูเขาซีนาย ที่นั้นพวกเขาได้ทำพันธสัญญากับพระเจ้า และได้รับพระบัญญัติสิบประการซึ่งเป็นแนวทางสำหรับการรับใช้พระเจ้าและปฏิบัติต่อกันและกัน
บทที่ 3 อิสราเอล 12 เผ่า (ประมาณ ก.ค.ศ.1250-1000)
ช่วงนี้ประเทศอียิปต์อ่อนกำลังลงจนแทบไม่มีอำนาจควบคุมปาเลสไตน์ คนเผ่าเร่ร่อนหลายเผ่ารวมทั้งอิสราเอลกำลังต่อสู้กันเพื่อช่วงชิงอำนาจปกครองแผ่นดินปาเลสไตน์ โยชูวานำอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินปาเลสไตน์ มีผู้วินิจฉัยจำนวนหนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นผู้นำทำหน้าที่ช่วยเหลือพวกเขาเมื่อเกิดความขัดแย้งกับคนต่างชาติ ซึ่งมีพวกฟีลิสเตียเป็นคู่อริที่อันตรายที่สุด
บทที่ 4 กษัตริย์องค์แรกๆ ของอิสราเอล (ประมาณ ก.ค.ศ. 1000-922)
ช่วงนี้พวกฟีลิสเตียเป็นเผ่าที่คุกคามอิสราเอลอย่างหนัก ไม่มีผู้วินิจฉัยคนใดสามารถยับยั้งพวกฟีลิสเตียที่กำลังเข้าคุกคามดินแดนของพวกอิสราเอลได้ ซามูเอลจึงเลือกซาอูลและดาวิดให้เป็นกษัตริย์ของพวกอิสราเอลโดยให้กษัตริย์เป็นผู้สร้างกองทัพเพื่อพิชิตดินแดนปาเลสไตน์ กษัตริย์ซาอูลล้มเหลว แต่กษัตริย์ดาวิดประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง สามารถเอาชนะพวกฟีลิสเตียและราชอาณาจักรต่าง ๆ ที่อยู่รอบๆ ปาเลสไตน์ ยุคนี้เป็นยุคที่อิสราเอลมีอำนาจสูงสุด กษัตริย์ซาโลมอนโอรสของดาวิดได้สร้างพระวิหารและอาคารต่าง ๆ มากมายที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่ก็เก็บภาษีประชาชนอย่างหนัก
บทที่ 5 สองราชอาณาจักร (ประมาณ ก.ค.ศ. 922-802)
หลังจากที่ซาโลมอนสิ้นพระชนม์แล้วก็เกิดสงครามกลางเมืองในอิสราเอล ทำให้ราชอาณาจักรถูกแบ่งเป็นสองส่วน ราชอาณาจักรยูดาห์อยู่ด้านใต้ปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์ดาวิด ราชอาณาจักรอิสราเอลอยู่ด้านเหนือปกครองโดยกษัตริย์ที่พวกผู้เผยพระวจนะเป็นผู้เลือกสรร
บทที่ 6 สมัยจักรวรรดิอัสซีเรียเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 802-610)
ช่วงต้นของบทนี้ไม่มีชาติใดที่มีอำนาจมากพอที่จะเข้าควบคุมอิสราเอล ทั้งสองราชอาณาจักรจึงมีสันติสุขและเจริญรุ่งเรือง แต่ผู้เผยพระวจนะอาโมสและโฮเชยาประณามความอยุติธรรมในสังคม ท่านทั้งสองเตือนภัยที่กำลังจะมาถึง กษัตริย์องค์ใหม่ของอัสซีเรียขึ้นครองอำนาจ และสามารถพิชิตราชอาณาจักรอิสราเอลได้เมื่อ ก.ค.ศ. 721 ประชาชนถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ส่วนราชอาณาจักรยูดาห์ยอมจำนน แต่ก็ก่อการกบฏบ่อยครั้งแต่ก็ถูกอัสซีเรียควบคุมไว้ได้ โดยที่อียิปต์ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ขอร้องให้ประชาชนวางใจในพระเจ้า
บทที่ 7 สมัยจักรวรรดิบาบิโลนเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 610-539)
หลังจากนั้นอัสซีเรียก็อ่อนอำนาจลง ถูกสามประเทศรุกราน คืออียิปต์ มีเดีย และบาบิโลน เมื่ออัสซีเรียพ่ายแพ้จักรวรรดิก็ถูกแบ่งปันกัน อียิปต์พยายามกลับมาควบคุมปาเลสไตน์อีกแต่ก็พ่ายแพ้บาบิโลนที่คาร์เคมิช (ก.ค.ศ. 605) ยูดาห์พยายามเรียกร้องเอกราชของตน แต่ก็พ่ายแพ้บาบิโลน (ก.ค.ศ. 597) หลังจากยูดาห์เป็นกบฏบาบิโลนก็บุกโจมตีอีก (ก.ค.ศ. 587) และทำลายกรุงเยรูซาเล็มพร้อมทั้งพระวิหารพังพินาศ พวกผู้นำของยูดาห์ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน
บทที่ 8 สมัยจักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 539-331 )
ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียพิชิตบาบิโลนได้เมื่อ ก.ค.ศ. 539 พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกยิวกลับไปยูดาห์เพื่อสร้างพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ เกิดความยุ่งยากหลายอย่าง กว่าจะสร้างสำเร็จได้ก็ล่วงเลยไปถึงปี ก.ค.ศ. 516 ในปี ก.ค.ศ. 445 เนหะมีย์ได้รับอนุญาตให้กลับไปยูดาห์เพื่อซ่อมแซมกำแพงเมืองและสถาปนามณฑลยูดาห์ ประมาณ ก.ค.ศ. 397 เอสราเดินทางจากบาบิโลนพร้อมกับหนังสือห้าเล่มแรกของพันสัญญาเดิม ซึ่งเป็นหนังสือที่ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของอิสราเอล
บทที่ 9 สมัยจักรวรรดิกรีกเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 331-65)
อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งประเทศกรีกพิชิตเปอร์เซียได้ หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์กรีกก็ยังปกครองต่อไป ปี ก.ค.ศ. 323-198 ทอเลมีราชวงค์กรีกซึ่งอยู่ที่อียิปต์มีอำนาจปกครองพวกยิว ในปี ก.ค.ศ. 198 เซลูคัสเข้าควบคุมปาเลสไตน์ กษัตริย์อันทิโอกที่ 4 พยายามทำลายศาสนายิว บังคับให้ปฏิบัติตามธรรมเนียมกรีก ยิวกลุ่มหนึ่งเรียกว่าพวกแมคคาบีได้นำประชาชนต่อต้าน ในที่สุดก็สามารถเลือกกษัตริย์ของพวกตนขึ้นปกครองยูดาห์
บทที่ 10 สมัยจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 65 - ค.ศ. 70)
ความขัดแย้งเกิดขึ้นท่ามกลางพวกแมคคาบี พวกเขาจึงเชิญพวกโรมันมาตัดสินว่าจะเลือกใครเป็นกษัตริย์ พวกโรมันแต่งตั้งอันทิปาสให้เป็นผู้ปกครองยูดาห์ และเฮโรดมหาราชเป็นกษัตริย์องค์แรกที่ปกครองปาเลสไตน์ พระเยซูคริสต์ประสูติในรัชกาลนี้ คริสเตียนเกิดขึ้นจากชีวิตและพันธกิจของพระเยซูคริสต์ ชาวยิวต่อต้านคริสต์ศาสนาและขอร้องชาวโรมันให้ทำลายเสีย ภายหลังยิวก่อการกบฏ จึงถูกลงโทษด้วยการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม รัฐยิวจึงถึงกาลอวสาน (ค.ศ. 70)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น