วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

บทที่ี 10 อิสราเอลสมัยกรีกเรืองอำนาจ


บทที่ี 10 อิสราเอลสมัยกรีกเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 331 - 65)

1. กรีกรวมพลังพิชิตโลก

ประวัติศาสตร์ได้มีการบันทึกเรื่องราวของชาวกรีกไว้นานแล้ว แต่พระคัมภีร์เพิ่งจะบันทึกเรื่องราวของกรีกก็ต่อเมื่อหลังจากกลับจากการเป็นเชลยแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ สมัยก่อนชาวกรีกไม่เข้มแข็งพอที่จะมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลก
นักวิชาการบางคนเชื่อว่าชาวฟีลิสเตียเดิมเป็นชาวกรีก แต่ถูกกรีกหลายกลุ่มที่มีอำนาจกว่าขับไล่ออกจากบ้านเมืองของตน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่า อิสราเอลพบกับชาวกรีกครั้งแรกเมื่อพวกเขาอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในปาเลสไตน์และมีการค้าขายซึ่งกันและกัน แต่การติดต่อครั้งสำคัญครั้งแรกเกิดขึ้นตอนปลายศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตศักราช ซึ่งครั้งนั้นนครต่าง ๆ ของกรีกรวมกันตั้งเป็นสันนิบาตนครรัฐที่มีอำนาจเข้มแข็งภายใต้การปกครองของผู้นำท่านหนึ่ง
ในปี ก.ค.ศ. 336 นครรัฐต่าง ๆ ของกรีกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ฟีลิปที่ 2 (Phillip II) แห่งมาซิโดเนีย และต่อมากรีกก็มีผู้นำคนใหม่คือ อเล็กซานเดอร์ (Alexander) ซึ่งเป็นโอรส พระองค์ทรงปกครองตั้งแต่ ก.ค.ศ. 336 - 323 โดยตลอดเวลาอเล็กซานเดอร์ ต้องเผชิญปัญหากับเปอร์เซีย พระองค์ทรงนำทัพไปสู้รบกับเปอร์เซีย จนกระทั่งถึงอียิปต์ ประชาชนที่นั่นพากันต้อนรับพระองค์ในฐานะผู้ปลดปล่อยพวกตนจากแอกของเปอร์เซีย อเล็กซานเดอร์รบชนะทุกแห่งที่พระองค์ยกทัพไป พระองค์ทรงทำลายจักรวรรดิเปอร์เซียลงภายในเวลาไม่ถึงสิบปี แล้วสร้างจักรวรรดิกรีกขึ้นมาแทน จักรวรรดินี้ครอบคลุมอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ทรงประชวรเป็นไข้และสิ้นพระชนม์ที่บาบิโลนในปี ก.ค.ศ. 323 เมื่อพระชนมายุ 32 ชันษา
หลังจากกษัตริย์อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์แล้วจักรวรรดิกรีกก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะไม่มีผู้ใดมีอำนาจพอที่จะรับช่วงการปกครองต่อจากพระองค์ ปี ก.ค.ศ. 301 มีรัฐใหม่เกิดขึ้นห้าแห่งคือ ที่มาซิโดเนีย เทร็ซ เอเชียไมเนอร์ผนวกกับฟีนิเซีย อียิปต์ผนวกกับปาเลสไตน์ และบาบิโลน ทอเลมี (Ptolemy) ปกครองอียิปต์โดยที่แม่ทัพคนอื่นเข้าแทรกแซงไม่มากนัก แต่ในที่อื่น ๆ มีการรบเพื่อแย่งชิงอำนาจกันเอง ในปีก.ค.ศ. 281 เซลูคัส (Seleucus) ผู้ครอบครองบาบิโลนรบชนะแม่ทัพอื่นอีกสามคน ในปีเดียวกันนั้นเซลูคัสก็ถูกสังหาร มาซิโดเนียจึงประกาศตัวเป็นอิสระจากการปกครองของผู้สืบทอดอำนาจต่อจากเซลูคัส ดังนั้นกรีกจึงยังมีอำนาจเหนือบริเวณสามแห่ง คือ ที่มาซิโดเนียซึ่งปกครองโดยอันทิโกนัส (Antigonus) ที่อียิปต์ปกครองโดยทอเลมี นอกนั้นปกครองโดยตระกูลเซลูคัส ซึ่งเรียกว่าราชวงศ์เซลูซิด (Seleucis) มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองอันทิโอกในแคว้นซีเรีย
อำนาจสามฝ่ายนี้ปกครองต่อไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 2 ก.ค.ศ. ตอนนั้นโรมกำลังเข้ามาแย่งชิงอำนาจควบคุมกิจการของโลกไปจากกรีก อันทิโอกัสที่ 3 พยายามที่จะเสริมอำนาจของตนโดยเข้ายึดแผ่นดินใหญ่ของกรีกแต่ก็ถูกกองทัพโรมขับไล่กลับมาและถูกบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกในปี ก.ค.ศ. 190
1. ศาสนาและวัฒนธรรมกรีกพวกกรีกเชื่อว่ามีเทพเจ้าหลายองค์สถิตอยู่บนภูเขาโอลิมปัส โดยมีเทพชื่อ "ซุส" (Zeus) เป็นประมุขพวกกรีกเชื่อว่าทวยเทพที่อยู่ที่โอลิมปัสนั้นนึกจะทำอะไรก็ทำได้โดยทันที ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่จะควบคุมความประพฤติของเทพเหล่านั้น
ชาวกรีกที่มีความคิดส่วนใหญ่จะปฏิเสธศาสนาและหันมาพึ่งพาความสามารถของมนุษย์ กรีกในสมัยนั้นมีชื่อเสียงเด่นกว่าชาติใด ๆ ทั้งในด้านของการศึกษา ความสามารถด้านศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และปรัชญา ในด้านศิลปกรรมนั้น ชาวกรีกได้พัฒนาทักษะการละคร การแกะสลักและจิตรกรรมขึ้นมา ในด้านวิทยาศาสตร์พวกเขาปูพื้นฐานวิชาเรขาคณิต วิศวกรรม ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ ส่วนในด้านปรัชญาก็พัฒนาความคิดเห็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์และสังคมมนุษย์ซึ่งยังคงมีอิทธิพลมาตราบทุกวันนี้
พวกกรีกนิยมชมชอบการอภิปราย เรื่องประชาธิปไตยและความยุติธรรมเป็นพิเศษ เมื่อใดที่มีการเอาเรื่องพระเจ้ามาในการอภิปราย พวกเขาก็มักจะถือว่าเรื่องนี้เป็นอุดมการณ์สมบูรณ์แบบซึ่งทุกคนควรแสวงหา
อเล็กซานเดอร์ผู้เป็นศิษย์อริสโตเติลนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของกรีกคงจะเชื่อว่า การเผยแพร่วัฒนาธรรมกรีกไปทั่วโลกเป็นวิธีที่ดีในการรับใช้มนุษยชาติ นโยบายเผยแพร่วัฒนธรรมกรีกนี้พวกผู้ปกครองชาวกรีกคนต่อ ๆ มารับไปทำอย่างต่อเนื่องแม้จักรวรรดิจะถูกแบ่งแยกเป็นรัฐต่าง ๆ แล้วก็ตาม
ทอเลมีและราชวงศ์ของพระองค์ที่อยู่ในอียิปต์ขยันขันแข็งในการสนับสนุนและส่งเสริมวัฒนธรรมกรีกเป็นพิเศษ อเล็กซานเดอร์สร้างเมืองใหม่แห่งหนึ่งคือเมืองอเล็กซานเดรีย ต่อมาเมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่ด้านวิชาการ มีนักปราชญ์คนสำคัญที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคน

2. พวกยิวต่อต้านวัฒนาธรรมกรีก

1. ยูดาห์ที่อยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ทอเลมีหลังจากที่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์แล้ว จักรวรรดิกรีกแบ่งออกเป็นหลายราชอาณาจักร ดินแดนส่วนหนึ่งของปาเลสไตน์ตกอยู่ใต้การปกครองของทอเลมี ตลอดระยะเวลาที่กรีกยังมีอำนาจเหนือกิจการต่างๆ ของโลกอยู่แต่สูญเสียอำนาจในการปกครองปาเลสไตน์ไปเมื่อปี ก.ค.ศ. 198 เมื่อพวกเซลูซิดยึดบริเวณนั้นไว้ในครอบครอง
ในช่วง125 ปีที่ราชวงค์ทอเลมีปกครองอยู่นั้น ชีวิตของผู้คนในปาเลสไตน์มีแต่ความสงบสุขและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก มหาปุโรหิตยังคงเป็นเป็นผู้มีอำนาจทั้งด้านการเมืองและด้านจิตวิญญาณของชาวยิว โดยได้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นในยูดาห์ต่อทอเลมี
พัฒนาการที่สำคัญยิ่งสำหรับยิวในช่วงนี้คือ ชุมชนชาวยิวได้เจริญแข็งแรงขึ้นในเมือง อเล็กซานเดรีย พวกยิวในอเล็กซานเดรียยอมรับวัฒนธรรมกรีกและเต็มใจนำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์สำหรับพวกตน เพียงแค่ไม่นานพวกไม่เขาสามารถพูดและอ่านภาษาบ้านเกิดของตนได้ ในที่สุดก็พบว่าการที่จะรักษามรดกทางประวัติศาสตร์และทางความเชื่อของตนเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจากพระธรรมต่างๆในพระคัมภีร์เขียนด้วยภาษาฮีบรู ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่อ่านไม่ออก
ต่อมา พวกผู้นำชาวยิวมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องแปลพระบัญญัติเป็นภาษากรีก จึงค่อยๆทยอยแปลพระคัมภีร์ (พันธสัญญาเดิม) ทั้งเล่มจนแล้วเสร็จ ในศตวรรษต่อมาพวกผู้นำชาวยิวที่ปาเลสไตน์ไม่ยอมรับหนังสือใหม่เหล่านี้ และไม่ยอมใส่ไว้ในพระคัมภีร์ฮีบรู พระคัมภีร์ที่แปลเป็นภาษากรีกเล่มนี้เรียกกันว่า "พระคัมภีร์ฉบับเซปตัวจินท์" (the Septuagint) เพราะตามตำนานบอกว่า มีนักปราชญ์จำนวนเจ็ดสิบสองคนช่วยกันแปล ประวัติศาสตร์ของยิวสมัยจักรวรรดิกรีกเกือบทั้งหมดได้มาจากหนังสือที่เรียกว่า "อะพ็อคริฟา" (the Apocripha) เล่มที่สำคัญที่สุดคือ 1 และ 2 แมคคาบี
2 .ยูดาห์อยู่ใต้การปกครองของเซลูซิดภายหลังจากที่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกแม่ทัพแย่งอำนาจการปกครองจักรวรรดิจนปี ก.ค.ศ. 198 อันทิโอกัสที่ 3 ในราชตระกูลเซลูคัสรบชนะอียิปต์ จึงยึดปาเลสไตน์ไว้ในอำนาจของตน ทีแรก ๆ พวกยิวก็ชื่นชมยินดีในการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะความเป็นอยู่ของประชาชนสบายขึ้น อันทิโอกัสที่ 3 ไม่เรียกเก็บภาษีจากประชาชน ต่อมาก็เรียกเก็บเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เก็บภาษีจากเจ้าหน้าที่ผู้ประกอบพิธีทางศาสนาและสมาชิกของสภาผู้ปกครอง และรัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมพระวิหาร แต่เมื่ออันทิโอกัสที่ 3 แพ้ชาวโรมัน อันทิโอกัสที่ 3 ก็กลับมาเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
เซลูคัสที่ 4 เป็นกษัตริย์ชาวกรีกองค์ต่อมาก็ยังช่วยเหลือพวกยิว แต่ก็เกิดแพ้การทดลอง นำเงินซึ่งพระวิหารเก็บไว้เป็นจำนวนมากไปใช้จ่ายส่วนตัว และเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองชาวกรีกกับเจ้าหน้าที่ของพระวิหาร
เวลาที่พวกยิวได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดคือ เมื่ออันทิโอกัสที่ 4 เป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงรับเงินสินบนจากยาโสน (Jason) ผู้ต้องการตำแหน่างมหาปุโรหิต โดยสัญญาว่าจะสนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมกรีกในแคว้นยูดาห์ พวกปุโรหิตละทิ้งหน้าที่ศาสนกิจไปให้ความสำคัญกับการกีฬา แต่ยาโสนมีอำนาจในตำแหน่งมหาปุโรหิตได้ไม่นานก็ถูกถอด มีชายอีกคนชื่อเมเนเลาส์ (Menelaus) ให้สินบนแก่อันทิโอกัสที่ 4 โดยคดโกงนำเงินในพระวิหารมาจ่ายเป็นค่าสินบน เมื่อมีคนทราบเรื่องดังกล่าว ก็จับเขาฆ่าเสีย
อีกสองปีต่อมา ความเดือดร้อนก็ประทุถึงขีดสุดเมื่ออันทิโอกัสที่ 4 นำทัพไปโจมตีอียิปต์อีก แต่ถูกโรมันเข้าแทรกแซงทำให้ต้องถอยทัพกลับมา อันทิโอกัสรู้สึกอับอายและแค้นพระทัยจึงระบายความแค้นด้วยการโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม ปล้นสดมภ์และทำลายกรุง ออกคำสั่งห้ามพวกยิวทำพิธีกรรมทางศาสนา ห้ามฉลองเทศกาลต่าง ๆ และเผาหนังสือธรรมบัญญัติที่มีอยู่ทั้งหมดให้สิ้นซาก ห้ามพวกยิวเข้าสุหนัต ผู้ใดขัดขืนมีโทษถึงตาย อันทิโอกัสที่ 4 พยายามทำลายทุกสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของยิว พระองค์คิดว่าถ้าบังคับให้พวกยิวรับวัฒนธรรมกรีกแล้ว พวกยิวจะสนับสนุนการปกครองของกรีก แต่ยิวบางคนไม่ยอมแพ้ จึงยอมสละชีวิตเพื่อแสดงถึงความเชื่อ การขัดขืนของยิวแสดงออกอย่างชัดเจนในเรื่องของปุโรหิตมัททาเธียส (Mattathias) ที่ถูกพวกกรีกบังคับให้กราบไหว้เทพเจ้าของกรีก ท่านไม่ยอมทำ แต่มีชายอีกคนเสนอตัวทำแทน ทำให้มัททาเธียสโกรธและฆ่าชายคนนั้นเสียจึงต้องหนีไปบนภูเขาพร้อมกับบุตรชายและตั้งกองทัพต่อสู้พวกกรีกที่นั่นในรูปของกองโจร ซุ่มโจมตีพวกกรีกจนได้รับความเดือดร้อน ภายหลังยูดาสหรืออีกชื่อคือ แมคคาเบียส ก็ขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา เมื่ออันทิโอกัสที่ 4 สิ้นพระชนม์ ยูดาสก็ฉวยโอกาสเข้ายึดปาเลสไตน์และบริเวณฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน พวกเฮสิดิม (พวกที่ต่อต้านวัฒนธรรมกรีก) พอใจในเสรีภาพในการนับถือศาสนาแต่ไม่สนใจการเมือง แต่ยูดาสยังคงต้องต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติตลอดเวลา ภายในสิบปีพวกแมคคาบีก็ยึดอำนาจคืนจากกรีกได้ ยิ่งพวกแมคคาบีเกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมืองและมีชัยชนะมากเท่าใด ก็ยิ่งถูกพวกเฮสิดิมต่อต้านมากเท่านั้น ความขัดแย้งของพวกฟาริสีและสะดูสีเริ่มมาจากจุดนี้ ยิวบางคนไม่ชอบใจที่ผู้นำชาติของตนสนใจแต่เรื่องฝ่ายโลก จึงแยกตัวออกไปตั้งกลุ่มอารามวาสี (monastic groups) อยู่ในทะเลทรายซึ่งกลายเป็นพวก "เอสซีน" (Essenes) ในภายหลัง

3. กลุ่มผู้ร่วมมือทางศาสนาและกลุ่มนักสู้เพื่อเสรีภาพ

เราได้ศึกษาเรื่องราวของจักรวรรดิต่าง ๆ ที่เรืองอำนาจขึ้นมาตามลำดับ ดังนี้ อัสซีเรีย บาบิโลน เปอร์เซีย และตอนนี้กำลังอยู่ในสมัยของจักรวรรดิกรีก ผู้นำของจักรวรรดิเหล่านี้มักจะหาทางทำให้ประชาชนที่อยู่ใต้การปกครองของตนเชื่อฟัง แต่ละจักรวรรดิก็มีวิธีแก้ปัญหาต่างกันออกไป ดังนี้
1. อัสซีเรีย อาศัยกำลังทางทหารเพื่อรักษาอำนาจการปกครองของตนไว้ให้มั่นคง นิยมใช้ความรุนแรงและด้วยการกวาดต้อนพวกผู้นำที่ต่อต้านการปกครองของอัสซีเรียไปอยู่ต่างแดน และเอาคนต่างชาติเข้ามาอยู่แทน
2. บาบิโลน ใช้วิธีสลายความจงรักภักดีที่ประชาชนมีต่อผู้ปกครองของตนและให้หันไปจงรักภักดีต่อบาบิโลนแทน พวกเขากวาดต้อนพวกผู้นำของชาติที่แพ้สงครามไปอยู่ในต่างแดน
3. เปอร์เซีย เชื่อเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับประชาชนที่ตนปกครองให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน ในการนับถือศาสนาและวัฒนธรรมของตน
4.กรีก แตกต่างจากจักรวรรดิอื่น คือ กรีกจะพยายามเผยแพร่วัฒนธรรมของตนให้แก่ประชาชนที่ตนพิชิตได้ เพื่อหวังว่าให้ประชาชนยอมรับการปกครองของตนได้ โดยการนำสิ่งใหม่ ๆ เข้าไป
พวกยิว มีปฏิกิริยาต่อการเผยแพร่วัฒนธรรมกรีก ดังต่อไปนี้
พวกปุโรหิตในกรุงเยรูซาเล็ม ส่วนใหญ่นิยมวัฒนธรรมของกรีกโดยสามารถนำวัฒนธรรมของกรีกมาผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมของตนเองได้ แต่ความจริงแล้วพวกปุโรหิตนี้มักจะแสวงหาอำนาจให้กับตนเองมากกว่า เมื่อพวกใดมีอำนาจขึ้นมา ก็จะหันไปฝักใฝ่ฝ่ายนั้น ในที่สุดพวกปุโรหิตจึงตั้งคณะสะดูสีขึ้นมา
พวกเฮสิดิม เต็มใจยอมรับให้มีการเผยแพร่วัฒนธรรมกรีก ตราบเท่าที่วัฒนธรรมนั้นไม่เข้ามาแทรกแซงความเชื่อของพวกยิว พวกนี้ต่อต้านอันทิโอกัสอีปิฟาเนสที่ต้องการทำลายยูดาห์ จึงเข้าร่วมกับพวกแมคคาบี แต่เมื่อยิวได้รับเสรีภาพในการนับถือศาสนาแล้ว ก็ไม่สนับสนุนพวกแมคคาบีอีก พวกเฮสิดิมนี้ไม่ฝักใฝ่อำนาจทางการเมืองด้วยวิธีฝ่ายโลก และภายหลังพวกนี้กลายเป็นคณะฟาริสีในสมัยพันธสัญญาใหม่
พวกแมคคาบี ต่อต้านการปกครองของกรีกและการบังคับให้ยอมรับวัฒนธรรมกรีก
พวกเอสซีน เป็นกลุ่มชาวยิวที่เคร่งศาสนาซึ่งไม่พอใจวิธีที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนในการเมือง พวกนี้เชื่อว่าแผ่นดินของพระเจ้าไม่มีทางจะตั้งขึ้นในโลกด้วยวิธีทางการเมือง จึงแยกตนเองออกจากโลก ตั้งอารามเพื่อศึกษาพระวจนะของพระเจ้า ไม่ยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับฝ่ายโลก

บทที่ 9 อิสราเอลสมัยเปอร์เซีย


บทที่ 9 อิสราเอลสมัยเปอร์เซียเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 539-331)

1. เปอร์เซียเรืองอำนาจในโลก

ขณะที่บาบิโลนครองความเป็นใหญ่อยู่ทางภาคใต้ของราชอาณาจักรเก่าของอัสซีเรีย พวกมีเดียครองความเป็นใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ สองจักรวรรดินี้ตั้งอยู่คู่เคียงกันเป็นเวลานานประมาณเจ็ดสิบปีโดยไม่มีการสู้รบกันอย่างเปิดเผย
ในปี ก.ค.ศ.550 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น อัสทียาเกส (Astyages) แห่งมีเดียยกทัพไปต่อสู้กับพวกเอลาม ซึ่งตอนนั้นกษัตริย์ไซรัส (Cyrus) แห่งเปอร์เซียปกครองอยู่ การสู้รบกันครั้งนี้ปรากฎว่ากองทัพมีเดียปราชัยยับเยิน เพราะกษัตริย์ไซรัสทรงเดชานุภาพและเป็นที่นิยมรักใคร่ของประชาชนเกินกว่าที่จะเอาชนะพระองค์ได้ ไซรัสทรงสามารถขับพวกมีเดียให้ล่าทัพกลับ แล้วตามไปโจมตีถึงในดินแดนของชาวมีเดียจนได้ชัยชนะ อีกไม่นานไซรัสก็ตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ในเอคบาทานา (Ecbatana) และอ้างว่าพระองค์มีอำนาจในจักรวรรดิมีเดีย
นาโบนิดัด (Nabonedus) แห่งบาบิโลนกลัวว่าไซรัสจะยกทัพเลยเข้ามาโจมตีจักรวรรดิของพระองค์ ซึ่งก็เป็นความจริงเช่นนั้น พระองค์จึงได้ร่วมกับผู้นำมิตรประเทศ ได้แก่ อามาซิส (Amasis) แห่งอียิปต์ และ โครเอซัส (Croesus) แห่งลิเดียจัดตั้งกองกำลังเพื่อป้องกันประเทศของพวกตน กษัตริย์ไซรัสบุกเข้ายึดซารดิส (Sardis) เมืองหลวงของลิเดียได้เป็นแห่งแรกในปี ก.ค.ศ. 547 พอถึงปี ก.ค.ศ. 539 ไซรัสทรงยกทัพเข้าโจมตีบาบิโลนโดยตรง เวลานั้นประชาชนชาวบาบิโลนไม่นิยมเลื่อมใสในตัวกษัตริย์นาโบนิดัด เพราะนอกจากพระองค์จะเป็นชาวอารัมที่มาจากเมืองฮารานซึ่งไม่ใช่เชื้อพระวงศ์แคลเดียแห่งบาบิโลนแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ยอมสักการะเทพเจ้ามาร์ดุกอีกด้วย จึงทำให้พวกปุโรหิตของพระมาร์ดุกไม่ชอบพระองค์ นาโบนิดัดเลื่อมใสศรัทธาพระสิน (Sin) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ เทพองค์นี้มีวิหารอยู่ที่เมืองฮาราน ก่อนหน้านั้นหลายปี คือก่อนที่กษัตริย์ไซรัสจะยึดเอคบาทานาได้นาโบนิดัดปล่อยให้เบลชัสซาร์โอรสของพระองค์ปกครองประเทศแทน ผลที่ตามมาก็คือไม่มีการฉลองเทศกาลปีใหม่ติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี เพราะเทศกาลนี้กษัตริย์จะต้องเป็นผู้นำในพิธีรื้อฟื้นความเป็นผู้นำประเทศ เรื่องนี้เองที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจนาโบนิดัดอย่างมาก ดังนั้นเองจึงไม่เตรียมตัวเตรียมใจเพื่อต่อสู้กับไซรัสอย่างเต็มกำลัง
ไซรัสรบชนะบาบิโลนที่เมืองโอปิส (Opis) บนฝั่งแม่น้ำไทกรีสเมื่อปี ก.ค.ศ. 539 และอีกไม่กี่วันต่อมาแม่ทัพของพระองค์ก็ยึดกรุงบาบิโลนได้สำเร็จโดยไม่มีการต่อสู้มากนัก นาโบนิดัดทรงหนีเอาตัวรอดแต่ก็ถูกจับได้ ชาวบาบิโลนต้อนรับกษัตริย์ไซรัสด้วยความปีติยินดีในฐานะที่ทรงเป็นวีรชนผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาและผู้รับใช้ของพระมาร์ดุก เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระมาร์ดุกกษัตริย์ไซรัสจึงทรงรื้อฟื้นเทศกาลปีใหม่ขึ้นมาอีก และนำรูปปฏิมาของเทพเจ้าต่าง ๆ กลับไปไว้ในเทวสถานเดิมของใครของมัน หลังจากไซรัสได้บาบิโลนไว้ในความครอบครองแล้วไม่นาน บรรดาเจ้านายผู้ปกครองมณฑลต่างด้าวต่าง ๆ ก็พากันมาสวามิภักดิ์ จักรวรรดิเปอร์เซียตั้งขึ้นได้ด้วยการผนวกจักรวรรดิมีเดีย จักรวรรดิบาบิโลน พร้อมกับดินแดนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลเข้าด้วยกัน โดยมีกรุงเอาบาทานาเป็นเมืองหลวง
จักรวรรดิเปอร์เซียตั้งอยู่ได้นานประมาณสองร้อยปี กษัตริย์องค์หลัง ๆ ไม่ใช่นักปกครองที่ดีเหมือนไซรัส อียิปต์และกรีกเป็นศัตรูตัวฉกาจของเปอร์เซีย คัมบีเซส (Cambyses) โอรสของไซรัสปราบอียิปต์ได้สำเร็จในปี ก.ค.ศ. 525 แต่ประชาชนชาวอียิปต์ไม่เต็มใจอยู่ใต้ปกครองของเปอร์เซียจึงก่อการกบฏขึ้นบ่อย ๆ หลายครั้งก็ได้รับความช่วยเหลือจากประเทศกรีก ระหว่าง ก.ค.ศ. 401-342 อียิปต์ได้รับอิสรภาพอีกครั้ง แต่ก็ต้องสูญเสียไปอีกก่อนที่จักรวรรดิเปอร์เซียจะถูกโค่นลง
ประเทศกรีกสร้างความเดือดร้อนให้แก่เปอร์เซียมากกว่า และเปอร์เซียก็ไม่เคยเอาชนะกรีกได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว กษัตริย์เซอร์ซิสที่ 1 (Xerxer l) เป็นกษัตริย์แห่งเปอร์เซียองค์แรกที่พยายามจะพิชิตกรีกให้ได้ พระองค์ยกทัพเรือไปรบกับกรีกครั้งแรกในปี ก.ค.ศ.480 แรก ๆ ก็ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ถึงกับสามารถยึดกรุงเอเธนส์ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของกรีกได้ แล้วเผาวัดวาอารามและอาคารบ้านเรือนของประชาชนที่ตั้งอยู่บนเนินเขา อะโครโปลิส (Acropolis ดูภาพหน้า ) แต่อีกไม่นานกองทัพกรีกก็สามารถทำลายเรือรบส่วนใหญ่ของเปอร์เซีย กองทัพของเซอร์ซิสที่ 1 พ่ายแพ้ยับเยิน พระองค์เองก็ถูกปลงพระชนม์
อาร์ทาเซอร์ซิสที่ 1 (Artaxerxes l) ทำสงครามกับกรีกต่อไป แต่ในที่สุดก็ยอมทำสัญญาสงบศึกกันในปี ก.ค.ศ.449 หลังจากนั้นพวกกรีกก็รบพุ่งกันเอง เปอร์เซียจึงล่ากลับไปเฝ้าดูพวกกรีกฉีกเนื้อกันเองออกเป็นชิ้น ๆ ในสงครามที่เปโลโปนนีเชียน (Peloponnesian War ก.ค.ศ.431-404) ตอนนั้นไม่จำเป็นที่เปอร์เซียต้องเข้าไปแทรกแซง ชาวกรีกเอาแต่รบกันเองจนไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่จักรวรรดิเปอร์เซีย แต่ผลสุดท้ายก็สร้างความพินาศให้แก่เปอร์เซียอยู่ดี ทันทีที่เลิกทำสงครามกันเอง พวกกรีกก็เริ่มก่อกวนและสร้างความเดือดร้อนให้แก่บรรดาผู้ปกครองของเปอร์เซีย เมื่ออียิปต์เข้าร่วมผสมโรงด้วยก็ทำให้ยิ่งเดือดร้อนขึ้นกว่าเดิม ในที่สุดอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) แห่งประเทศกรีกก็ทำลายอาณาจักรเปอร์เซียได้สำเร็จ แล้วทรงครอบครองโลกสมัยโบราณไว้ได้ทั้งหมดตั้งแต่กแม่น้ำดานูบจรดแม่น้ำอินดัสและเลยไปอีก
ศาสนาของชาวเปอร์เซีย ศาสนาดั้งเดิมของชาวเปอร์เซียเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์และกสิกรรมแบบเรียบง่าย แต่ต่อมาก็มีศาสนาใหม่ ศาสนาโซโรแอสเตอร์เกิดขึ้น ศาสนานี้พัฒนาขึ้นผลงานของชายผู้หนึ่งชื่อว่า ซาราธุสตรา (Zarathustra) หัวใจของศาสนาโซโรแอสเตอร์อยู่ที่หนังสือศักดิ์สิทธิ์หรือพระคัมภีร์ เช่นเดียวกันกับศานายูดาย อิสลาม คริสต์ศาสนาและศาสนาของชาวตะวันออกอีกหลายศาสนา หนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้เรียกว่า พระคัมภีร์อาเวสตา (Avesta) ศาสนาโซโรแอสเตอร์มีลักษณะเป็นลัทธิทวินิยม สานุศิษย์ของศาสนานี้เชื่อในอำนาจสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งดีฝ่ายหนึ่งชั่ว พวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งความดีเป็นเทพผู้สูงสุด ชื่อออร์มาซด์ (Ormazd) เทพองค์นี้มีพวกอัครเทวทูตและเทวทูตทั้งหลายเป็นบริวาร และเชื่อว่ามีเทพแห่งความชั่วองค์หนึ่งชื่อ อาห์ริมาน (Ahriman) มีภูตผีปีศาจเป็นบริวาร ศาสนาโซโรแอสเตอร์สอนว่า มนุษย์ควรจะปรนนิบัติรับใช้เทพแห่งความดี และทำตามประมวลกฎหมายอันสูงส่งซึ่งแสดงออกมาเป็นค่านิยมทางศีลธรรมแบบถ่อมตัว ศิษยานุศิษย์ของศาสนานนี้มีความเชื่อมั่นว่า ความตายไม่ใช่การสิ้นสุดคนชอบธรรมจะได้รับชีวิตใหม่เมื่อตอนที่เทพออร์มาซด์ทำสงครามชนะ

2. การสร้างยูดาห์ขึ้นใหม่

ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์เคยสอนไว้ว่า ความหวังในอนาคตของประชาชนของพระเจ้าขึ้นอยู่กับพวกเชลยที่บาบิโลน (ยรม. 24.4-7) หลังจากถูกกวาดต้อนเป็นเชลยในต่างแดนเป็นครั้งที่สามแล้ว ก็ยังมีคนหลงเหลืออยู่ในยูดาห์อีกจำนวนหนึ่ง คนเหล่านี้เป็นคนด้อยทักษะหรือด้อยคุณภาพ พวกผู้นำทั้งหลายถูกพาตัวไปอยู่ที่บาบิโลน บางคนก็ลี้ภัยไปอยู่ที่อื่น ที่ซากพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มอาจจะมีคนไปนมัสการพระเจ้าอยู่ต่อไป (ยรม. 41.5) แต่ก็เหลืออยู่จำนวนน้อยจนไม่มีความหวังสำหรับอนาคตอยู่เลย (อสค.33.24-29) ในประเทศบาบิโลนก็เช่นกัน ขวัญของคนในชุมชนชาวยิวตกต่ำมากแม้ว่าจะสามารถปฏิบัติศาสนกิจในลักษณะที่พอจะทำได้ แต่พวกเขายังคงใจฝ่อเพราะกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายพินาศ พวกเขารู้สึกหมดอาลัยและไร้ความหวังอย่างมาก (อสย. 40.27) ดังนั้นการที่จะตั้งชุมชนใหม่แห่งประชาชนของพระเจ้าได้นั้น จะต้องเอาชนะความยุ่งยากใหญ่หลวงหลายอย่าง แต่ก็มีการเตรียมสร้างชุมชนใหม่ในยูดาห์และในกรุงเยรูซาเล็มเป็นขั้น ๆ ไป
1. การรื้อฟื้นความหวังขึ้นมาใหม่ระหว่างเป็นเชลยอยู่ที่บาบิโลน มีผู้เผยพระวจนะสองท่านทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทั้งสองพยายามพูดและเขียนถึงเรื่องอนาคตว่า เวลานั้นมนุษย์ทั้งปวงจะยอมรับพระราชอำนาจของพระเจ้า และประชาชนของพระเจ้าจะรู้อีกครั้งว่าตนมีพระพรของพระองค์
(ก). เอเสเคียล เป็นผู้เผยพระวจนะท่านหนึ่ง ท่านถูกพาตัวมาบาบิโลนพร้อมกับเชลยรุ่นแรก และได้ทำหน้าที่เผยพระวจนะที่นั่น ท่านมีความหวังสำหรับคนที่กลับใจและหันมาหาพระเจ้า ท่านเชื่อว่าพระองค์จะทรงรื้อฟื้นพวกเขาขึ้นใหม่ และให้กลับไปอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มบ้านเกิดเมืองนอนอีก (อสค. 33.19, 36.24-28) ตอนท้ายของพระธรรมเอเสเคียลพูดถึงนิมิตของท่านเรื่องชุมชนใหม่ในกรุงเยรูซาเล็ม อันมีพระวิหารเป็นศูนย์กลางของชีวิต (อสค.40.48)
(ข). อิสยาห์ที่สอง (Deutero-Isaiah) ท่านผู้นี้ไม่มีใครทราบชื่อจริงของท่าน แต่สิ่งที่ท่านเขียนปรากฎอยู่ในพระธรรมอิสยาห์ 40 - 55 สาเหตุที่ท่านเขียนหนังสือโดยไม่ใส่ชื่อ เนื่องจากว่าท่านได้ส่งหนังสือนี้ให้พวกยิวเวียนกันอ่าน และเกรงว่าจะเกิดความเดือดร้อนถ้าทางการรู้ชื่อของท่าน อิสยาห์ที่สองได้ให้ความมั่นใจประชาชนชาวยูดาห์ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงล้มเลิกพระราชประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อพวกเขา (อสย.41.8-10) พระเจ้ากำลังส่งไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียมาปลดปล่อยพวกเขา (อสย.41.25, 45.1-7) จะมีการอพยพครั้งใหม่เกิดขึ้นอีก จากบาบิโลนกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเจ้าจะช่วยให้เขาสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ให้ยิ่งใหญ่และสง่างาม (อสย.45.22, 49.6, 54.11-14)
2. การเดินทางกลับกรุงเยรูซาเล็มในปี ก.ค.ศ.539 เมื่อกษัตริย์ไซรัสยกทัพมาพิชิตบาบิโลนได้ พระองค์มอบสิทธิอำนาจให้พวกยิวไปสร้างพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม เต็มใจให้พวกยิวกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตน ทั้งยังสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับ แต่ก็มีพวกยิวไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมรับโอกาสใหม่ในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า
เชซบัสซาร์ เจ้านายของยูดาห์ (อสร.1.8) ท่านผู้นี้อาจจะเป็นโอรสของกษัตริย์เยโฮยาคิน ท่านเป็นผู้นำพวกยิวรุ่นแรกเพียงไม่กี่คนเดินทางกลับกรุงเยรูซาเล็ม เนื่องจากมีเพียงไม่กี่คนกลับมาพร้อมกับท่าน และพบว่ากรุงเยรูซาเล็มพินาศย่อยยับเหลือแต่ซากจนยากที่จะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น อย่างดีที่สุดที่พอทำได้ก็คือหาที่พักและอาหารพอประทังชีวิตอยู่ต่อไป
เศรุบบาเบล หลานของกษัตริย์เยโฮยาคีน นำพวกยิวรุ่นที่สองซึ่งมีจำนวนมากกว่ารุ่นแรกกลับปาเลสไตน์ ชาวยิวกลุ่มนี้ก็เช่นกันพบว่าการดำรงชีวิตอยู่ที่นั่นลำบากมาก แทบจะไม่มีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากการแสวงหาปัจจัยสำคัญสำหรับดำรงชีวิตอยู่
3. การสร้างพระวิหารใหม่ในปี ก.ค.ศ. 520 ผู้เผยพระวจนะสองท่านคือ ฮักกัยและเศคาริยาห์มายังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อขอร้องประชาชนให้ช่วยกันสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ (อสร.5.1-2) ประชาชนชาวยูดาห์ตอบสนองท่านจึงสร้างพระวิหารจนแล้วเสร็จในสี่ปี ถึงแม้จะไม่ได้ออกแบบให้สวยงามแข็งแรง และประดับประดาเต็มที่เหมือนพระวิหารหลังแรกที่สร้างในสมัยกษัตริย์ซาโลมอน แต่อย่างน้อยที่สุดพวกยิวก็มีศูนย์กลางสำหรับนมัสการและถวายเครื่องบูชาอีกครั้ง
4. แคว้นยูดาห์คนที่อยู่ในยูดาห์และในกรุงเยรูซาเล็มยังมีชีวิตและความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น บริเวณส่วนใหญ่ของกรุงเยรูซาเล็มยังอยู่ในสภาพปรักพัง มีชาวยิวเพียงไม่กี่คนเต็มใจอยู่ที่นั่น (นหม.7.4) นอกนั้นพากันไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองอื่นแทน เช่น ที่เบธเลเฮม เกบา เบธเอล และเยรีโค (ดูเอสรา 2.20-35 และแผนที่ 4) จำนวนพลเมืองทั้งหมดมีประมาณ 50,000 คน การบริหารทางการเมืองยังคงอยู่ในความควบคุมของผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างตะวันตกซึ่งเป็นชาวเปอร์เซีย
ที่นั่นเกิดปัญหาเสมอระหว่างพวกเชลยที่กลับมาเยรูซาเล็มกับพวกที่อยู่ในปาเลสไตน์ หรือพวกที่ย้ายกลับมาก่อนหน้าแล้ว พวกยิวเชื่อว่ามีแต่พวกที่เคยไปอยู่ที่บาบิโลนมาแล้วเท่านั้นที่เชื่อใจได้ว่าเป็นผู้รักษารูปแบบการนมัสการพระเจ้าที่เป็นประเพณีสืบทอดกันมา ส่วนพวกที่อยู่ในปาเลสไตน์ระหว่างที่พวกเขาถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยอยู่ต่างแดนนั้น ล้วนเป็นพวกที่ปรนนิบัติพระอื่น ๆ ควบคู่กับการปรนนิบัติพระเจ้า (2 พกษ.17.27-34) บรรดาผู้ว่าราชการแคว้นต่าง ๆ ในปาเลสไตน์และฟากข้างโน้นของแม่น้ำจอร์แดนให้ความเห็นอกเห็นใจพวกที่ไม่เคยเป็นเชลยมากกว่า และทำทุกสิ่งเพื่อก่อความเดือดร้อนกับพวกยิวที่กลับจากเป็นเชลยที่บาบิโลน (นหม.6.10-14, 17-18) ทำให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนกับที่อิสยาห์ที่สอง ฮักกัย และเศคาริยาห์เคยสัญญาไว้ การสร้างพระวิหารไม่ได้ทำให้ชีวิตของคนในชาติยิวได้รับการฟื้นฟู จึงทำให้หลายคนท้อใจ
5. เอกราชสำหรับยูดาห์ปลายปี ก.ค.ศ.455 มีผู้นำข่าวสารไปแจ้งให้ราชสำนักเปอร์เซียที่เมืองสุวา (Susa) ทราบว่าพวกยิวที่กำลังพยายามสร้างชุมชนเพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็มกำลังประสบกับปัญหาหลายอย่าง เมื่อเนหะมีย์เจ้าหน้าที่คนสำคัญของราชสำนักซึ่งเป็นคนยิวได้ยินเรื่องเข้าก็รู้สึกหนักใจ และปรารถนาจะช่วยเหลือคนชาติเดียวกันกับท่าน (นหม.1.1-4) กษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีสที่ 1 จึงอนุญาตให้เนหะมีย์เดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อช่วยสร้างพระวิหารขึ้นใหม่
จากบันทึกส่วนตัวของเนหะมีย์ ท่านบันทึกว่าได้สร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็มสำเร็จ "ในห้าสิบสองวัน" (นหม.6.15) อาจจะเป็นไปได้ว่าแผนการสร้างนี้ทั้งหมดอยู่ภายในกำแพงเมือง เพราะโยเซฟัสนักประวัติศาสตร์สมัยโบราณบันทึกไว้ว่าต้องใช้เวลามากกว่าสองปีจึงก่อสร้างเสร็จทั้งหมด
เมื่องานก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เนหะมีห์จึงหันมาแก้ปัญหาด้านสังคมและเศรษฐกิจที่พวกยิวกำลังเผชิญอยู่ และดำเนินการปฏิรูปเรื่องสำคัญ ๆ เพื่อทำให้กรุงเยรูซาเล็มและยูดาห์กลายเป็นชุมชนที่มีความสุขและความเจริญ
ในปี ก.ค.ศ. 433 เนหะมีย์กลับไปยังเมืองสุสาเพื่อรายงานความสำเร็จแต่อีกไม่กี่ปีต่อมา ท่านก็ถูกส่งตัวให้เดินทางกลับไปเป็นผู้ว่าราชการในกรุงเยรูซาเล็มเป็นคำรบสอง ท่านได้กลับมาแก้ไขปัญหาความยุ่งยากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
6. พระบัญญัติของพระเจ้าในช่วงนี้เอง มีผู้นำคนสำคัญอีกคนหนึ่งเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็มท่านผู้นี้ชื่อเอสรา ท่านนำเอาหนังสือธรรมบัญญัติติดตัวมาจากบาบิโลนด้วยเล่มหนึ่ง เพื่อใช้เป็นแบบแผนของการดำเนินชีวิตของประชาชนชาวยูดาห์ เราไม่ทราบแน่ชัดว่าตอนนั้นเอสราอ่านพระบัญญัติเล่มไหน แต่ต่อมาพวกยิวเรียกพระธรรมห้าเล่มแรกในพันธสัญญาเดิมว่า "พระบัญญัติ" (โทราห์) หนังสือที่เอสราอ่านอาจจะเป็นร่างเดิมของพระธรรมห้าเล่มดังกล่าว หลังจากนั้นไม่ถึงห้าสิบปีพระธรรมดังกล่าวก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นพระคัมภีร์ ในเวลาเดียวกันนั้นพวกที่ไม่เคยเป็นเชลย และผู้ที่พวกยิวซึ่งกลับจากเป็นเชลยไม่ยอมรับว่าเป็นยิวแท้ได้พากันแยกตัวออกไปตั้งชุมชนใหม่และเรียกตนเองว่า "ชาวสะมาเรีย" ชุมชนนี้ยอมรับว่าพระธรรมห้าเล่มแรกของพันธสัญญาเดิมเป็นพระธรรมที่มีความสำคัญสำหรับพวกตนเช่นเดียวกับที่พวกยิวยอมรับ ถ้านำพระธรรมเหล่านี้มาใช้หลังจากสมัยของเอสราแล้ว พวกสะมาเรียคงไม่ยอมรับเป็นแน่ เพราะตอนนั้นใกล้จะถึงเวลาที่เกิดการแตกแยกอย่างเด็ดขาดแล้วระหว่างชาวยิวกับชาวสะมาเรีย
แม้แต่ในสมัยของเอสราเอง การแตกแยกระหว่างคนสองกลุ่มนี้ก็รุนแรงพอแล้ว ชาวสะมาเรียสร้างพระวิหารขึ้นแข่งบนภูเขาเกราซิมเมื่อประมาณปี ก.ค.ศ.400 และแยกไปนมัสการพระเจ้าที่นั่น ไม่ใช่ว่าพวกยิวทุกคนจะสบายใจที่เห็นรอยปริที่มากขึ้นระหว่างพวกยิวกับชนชาติอื่น ๆ รวมทั้งชาวสะมาเรียด้วย มีพระธรรมสองเล่มที่เขียนขึ้นเพื่อท้าทายพวกยิวเรื่องความไม่ไว้ใจและไม่แยแสคนต่างชาติ ได้แก่พระธรรมนางรูธและพระธรรมโยนาห์

3. "หนังสือซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาแก่อิสราเอล" (เนหะมีย์ 8.1)

ขนบประเพณีทางศาสนาและพิธีกรรมหลายอย่างได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใช้อีกในแคว้นยูดาห์ บรรดานักเขียนได้บันทึกรูปแบบของการนมัสการและความคิดด้านศาสนาจากความทรงจำที่พวกอิสราเอลอนุรักษ์ไว้มานานแล้ว ซึ่งเวลานั้นสิ่งที่พวกเขาจดจำไว้ถูกปรับปรุงแก้ไขใหม่ตามความเชื่อและตามพิธีกรรมที่พวกเขากระทำกันในสมัยหลัง
1. หน้าที่ของผู้นำทางศาสนาพวกปุโรหิตเป็นผู้นำชุมชนใหม่ในกรุงเยรูซาเล็ม (อสร.3.2, 10) โดยมีมหาปุโรหิตผู้หนึ่งเป็นประมุข (นหม.13.28) ตำแหน่งมหาปุโรหิตนี้เพิ่งตั้งขึ้นใหม่หลังจากเป็นเชลยแล้ว นอกจากพวกนี้แล้วก็ยังมีพวกเลวีที่ดำรงตำแหน่งรองลงมาเป็นผู้ทำงานในพระวิหาร (นหม.8.7, 10.8-9)
การถวายเครื่องบูชาที่กระทำกันเป็นประจำมีอยู่หลายอย่าง มีการถวายเครื่องเผาบูชาวันละสองครั้ง (อสร.3.3, 6) ศานติบูชาจะกระทำกันในโอกาสที่มีความปีติยินดีและตั้งใจจะโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า (นหม.12.43) และยังมีการถวายเครื่องบูชาอีกสองอย่างคือ การถวายเครื่องบูชาไถ่บาป และการถวายเครื่องบูชาไถ่กรรมบาป ซึ่งพระธรรมเลวีนิตบอกว่าสำคัญมาก (ลนต.4 -5)
2. เทศกาลประจำปีเทศกาลประจำปีสามอย่างที่กระทำกันก่อนสมัยเป็นเชลยได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่เมื่อพวกยิวกลัมายังกรุงเยรูซาเล็ม ได้แก่ เทศกาลปัสกา เทศกาลเพนเทคสเต และเทศกาลอยู่เพิง (อสร.6.19-20, นหม.10.35, 8.13-18) เทศกาลทั้งสามนี้เคยเป็นเวลาที่พวกยิวนอกแผ่นดินยูดาห์เดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจาริกแสวงบุญ นอกจากนี้แล้ว ในปฏิทินของยิวที่กลับจากเป็นเชลยยังมีเทศกาลใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา คือ เทศกาลลบมลทิน (ลนต.23.26-32) หรือ เรียกว่า "วันลบบาป"(ลนต.16) ในเทศกาลวันลบบาป ปุโรหิตจะถวายเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับตนเองและสำหรับประชาชน เทศกาลนี้ไม่เหมือนประเพณีอื่น ๆ ของยิว คือจะมีการเตรียมแพะตัวผู้สองตัว ตัวหนึ่งสำหรับพระเจ้า อีกตัวหนึ่งสำหรับ "อาซาเซล" ซึ่งเป็นชื่อของวิญญาณที่สิงอยู่ในทะเลทรายหรือเป็นหัวหน้าของทูตสวรรค์ที่ชั่วร้าย แพะสำหรับถวายบูชาพระเจ้าเป็นของบริสุทธิ์ สมควรจะนำมาใช้ในการนมัสการพระองค์ แพะสำหรับมอบให้อาซาเซลจะบรรทุก "บรรดาบาปของอิสราเอลและการ ทรยศทั้งหมด" (ลนต.16.10)
3. ประเพณีต่าง ๆ ของยิวหลังจากที่กลับมาอยู่ในยูดาห์แล้ว ดูเหมือนว่าพวกยิวยังรักษาประเพณีต่าง ๆ ที่ช่วยให้วิญญาณแห่งความเป็นไทของพวกเขามั่นคงอยู่ได้ในยามที่ตกเป็นเชลย ประเพณีนี้มีการเข้าสุหนัต การรักษาวันสะบาโต และการนมัสการในธรรมศาลา พวกยิวถือว่าการเข้าสุหนัตเป็นประเพณีที่กระทำขณะที่เด็กเพิ่งเกิดใหม่ ซึ่งไม่เหมือนกับคนชาติอื่น ๆ ในสมัยนั้น การที่เอสราเอาหนังสือธรรมบัญญัติมาใช้เป็นการส่งเสริมให้มีการก่อตั้งธรรมศาลาขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับอ่านและอนุรักษ์เอกสารศักดิ์สิทธิ์นี้

บทที่ 8 อิสราเอลสมัยบาบิโลน

บทที่ 8 อิสราเอลสมัยบาบิโลนเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 610 - 539)

1. ยุคทองของชาติใหญ่

ในประวัติศาสตร์อัสซีเรียบทที่ผ่านมาจะเห็นว่า ในที่สุดจักรวรรดิอัสซีเรียก็ถูกโค่นล้มทำลายอำนาจโดยประเทศบาบิโลนและประเทศมีเดีย จึงมี 3 ประเทศที่เรืองอำนาจขึ้นมาคือ อียิปต์ มีเดีย และบาบิโลน ล้วนเป็นประเทศที่เข้มแข็งและมีอิทธิพลในช่วงต่อมา แผนที่ 6 และ 7 จะช่วยให้เราเข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นในแต่ละประเทศดังกล่าว

1. ประเทศอียิปต์
เมื่ออัสซีเรียใกล้จะแพ้สงคราม ฟาโรห์ เนโคที่ 2 แห่งอียิปต์กลัวว่าประเทศมีเดียและบาบิโลนจะมีอำนาจมากขึ้นจึงสนับสนุนอัสซีเรีย แต่เมื่อกระทำเช่นนั้นไม่เป็นผล พระองค์จึงพยายามจะควบคุมปาเลสไตน์และประเทศที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนให้ได้ แต่ในปี ก.ค.ศ. 605 เนบูคัดเนสซาร์นำกองทัพบาบิโลนมาทำสงครามกับอียิปต์ที่คาร์เคมิช (ดูแผนที่ 7) อียิปต์พ่ายแพ้ยับเยิน (ยรม.46.2) ในบันทึกของบาบิโลนพูดถึงชัยชนะที่ฮามัทซึ่งอยู่ใต้ลงไปอีกว่า ชัยชนะครั้งนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่คาร์เคมิชมาก ชัยชนะทั้งสองครั้งนี้เองทำให้บาบิโลนได้ครอบครองปาเลสไตน์

อียิปต์ให้สัญญาซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าจะช่วยชาติเล็ก ๆ ในบริเวณนั้นถ้าพวกเขาแข็งข้อต่อบาบิโลน หลายครั้งที่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ อียิปต์ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แต่อียิปต์ก็ยังคงรักษาเอกราชของตนไว้ได้ต่อไปอีกสามสิบหกปี

2. มีเดีย
เมื่ออัสซีเรียพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกต่อกองทัพของบาบิโลนและมีเดียที่พร้อมใจกันยกมาต่อสู้ สองราชอาณาจักรนี้ได้แบ่งกันครอบครองอัสซีเรีย โดยมีเดียได้ครอบครองประเทศอัสซีเรียและอาณาบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออก บาบิโลนได้ครอบครองดินแดนทางตอนใต้ของเมโสโปเตเมีย รวมทั้งประเทศของตนเองด้วย สันติสุขระหว่างมีเดียกับบาบิโลนเกิดขึ้นนานถึงเจ็ดสิบปี ตลอดระยะเวลานี้กษัตริย์ของมีเดียหลายองค์พยายามขยายอำนาจการปกครองของตนออกไปทางภาคเหนือของเอเซียตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นการเตรียมสถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียขึ้นในเวลาต่อมา

3. บาบิโลน
ประเทศที่มีอิทธิพลต่อประชาชนแห่งราชอาณาจักรยูดาห์ในศตวรรษที่ 6 และ 7 มากที่สุดก็คือประเทศบาบิโลน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมองย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของบาบิโลนก่อนหน้านี้ เพื่อจะได้เข้าใจบทบาทของประเทศนี้

ราชอาณาจักรโบราณของบาบิโลนถูกทำลายก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งพันปี และก่อนหน้านี้ไม่นานอัสซีเรียได้เข้าควบคุมเมืองต่าง ๆ และประชาชนชาวบาบิโลน ซึ่งรู้จักกันในนามว่า "ชาวแคลเดีย" อัสซีเรียแต่งตั้งคนของตนเองเป็นผู้ปกครองเพื่อชี้นำชีวิตของคนในเมืองและในชนบทรอบเมือง ต่อมาก็ได้ยกทัพเข้าโจมตีและทำลายกรุงนีนะเวห์ด้วยความช่วยเหลือของประเทศมีเดีย เนบูคัดเนสซาร์โอรสได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากกษัตริย์นาโบโปลัสซาร์ พระองค์เป็นชาวแคลเดียที่มีอำนาจมากผู้หนึ่ง

เนบูคัดเนสซาร์นำกองทัพซึ่งรบชนะอียิปต์ที่คาร์เคมิชและที่ฮามัทมาแล้วพระองค์ทรงเลื่อนการโจมตีอียิปต์ออกไปอีกสามสิบหกปี อาจจะเป็นเพราะทรงตระหนักถึงหายนะที่อัสซีเรียได้รับเมื่อครั้งพยายามจะปกครองอียิปต์ซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านเมืองของตนมากนัก แต่ในที่สุดเมื่อถึงเวลาอันควรเนบูคัดเนสซาร์ก็ทรงตัดสินพระทัยจะพิชิตอียิปต์ให้ได้ ในปี ก.ค.ศ. 570 เกิดกบฏขึ้นในอียิปต์ ฟาโรห์อาปรีสถูกโค่นอำนาจ ฟาโรห์อามาซีส เรียกร้องสิทธิ์ในการปกครองอียิปต์ ขณะที่เหตุการณ์ยังไม่สงบเนบูคัดเนสซาร์ที่ยกทัพมาโจมตีอียิปต์ (ยรม.46.13-26) หลังจากการโจมตีครั้งนี้แล้วก็มีสันติภาพเกิดขึ้นระหว่างชนสองชาตินี้

บรรดากษัตริย์บาบิโลนซึ่งครองราชย์ต่อจากเนบูาคัดเนสซาร์ไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับพระองค์ หลังจากเนบูคัดเนสซาร์ไปแล้ว กษัตริย์แต่ละองค์ปกครองจักรวรรดิบาบิโลนได้ไม่นานต้องเปลี่ยนราชการใหม่ บางครั้งก็มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ในที่สุดนาโบนิดัดก็ได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงสนพระทัยในขนบประเพณีโบราณมาก แต่ไม่สู้สนพระทัยการปกครองจักรวรรดิเท่าไรนัก พระองค์ทรงอนุญาตให้เบลซัสซาร์โอรสว่าราชการแทนในตำแหน่งอุปราชเป็นเวลานาน

ศาสนาของบาบิโลน
พระมาร์ดุก หรือ พระเมโรดัค เป็นเทพแห่งกรุงบาบิโลนมาแต่โบราณ ชาวบาบิโลนคิดว่าเป็นสุริยเทพมาปรากฏ และตั้งชื่อให้ว่า "เบล" แปลว่า "เจ้านาย" ในศาสนนิยายเรื่องการเนรมิตสร้างโลกของบาบิโลนซึ่งบันทึกไว้ในแผ่นศิลาจารึกโบราณบอกว่า พระมาร์ดุกได้รับหน้าที่เป็นผู้ปราบปรามอำนาจชั่วต่าง ๆ ที่สร้างความโกลาหลวุ่นวายให้เกิดขึ้น ในเรื่องบอกว่าเทียมัทเป็นที่หนึ่งในบรรดาอำนาจชั่วที่ว่านี้ เมื่อมาร์ดุกสังหาร เทียมัทได้แล้ว จึงเอาร่างกายของมันมาสร้างเป็นท้องฟ้าและแผ่นดิน ชัยชนะครั้งนี้ทำให้พระมาร์ดุกได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองสรรพสิ่ง


2. "ท่านต้องไปยังบาบิโลน" (ยรม. 34.3)

พระธรรมเยเรมีย์บทสุดท้ายเป็นการสรุปเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนยูดาห์ในช่วงนี้ (ดูแผนภูมิ 5) บทที่ 52.28-30 พูดถึงการถูกกวาดต้อนเป็นเชลยในต่างแดนสามครั้งติดกัน คือในปี ก.ค.ศ. 597,587,582 เยเรมีย์คงจะตักเตือนประชาชนซ้ำ ๆ ว่าพระเจ้ากำลังจะส่งยูดาห์ "ไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน" (ยรม.21.7, 22.25) และประชาชนคงจะต้องลังเลใจว่าจะเชื่อคำเตือนของเยเรมีย์ดีหรือไม่ แต่เยเรมีย์เองเชื่อว่าพระวจนะที่ท่านกล่าวนั้นมาจากพระเจ้า

1. การเป็นเชลยในต่างแดนครั้งแรก ก.ค.ศ. 597
หลังจากโยสิยาห์ถูกปลงพระชนม์แล้ว เยโฮอาหาสโอรสของพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ (2 พกษ.23.31) แต่ฟาโรห์เนโคก็จับพระองค์ไปเป็นนักโทษและตั้งเอลียาคิมขึ้นครองราชย์แทน (2 พกษ.22.33-34) และทรงเปลี่ยนชื่อเอลียาคิมเป็นเยโฮยาคิมแปลว่า "พระเจ้าทรงตั้งเขาขึ้นครองอำนาจ" ซึ่งถือเป็นความเชี่ยวชาญทางการทูตของฟาโรห์ที่ปรากฏให้เห็น ในรัชสมัยของเยโฮยาคิม ประชาชนหันกลับไปนมัสการตามแบบศาสนาอื่น (ยรม.7.18-20, 11.9-13) เยเรมีย์เตือนประชาชนว่าการทำเช่นนี้เป็นการชักนำการพิพากษามาสู่ราชอาณาจักรยูดาห์ โดยบาบิโลนจะทำหน้าที่ลงโทษพวกเขาแทนพระเจ้า (ยรม.1.13-14, 16.10-13)

เมื่อกองทัพบาบิโลนเอาชนะกองทัพอียิปต์ที่คาร์เคมิชและฮามัทได้แล้วก็อ้างสิทธิ์เหนือแผ่นดินปาเลสไตน์ซึ่งมีราชอาณาจักรยูดาห์รวมอยู่ด้วย ทีแรกเยโฮยาคิมยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองของบาบิโลน แต่ต่อมา คือในปี ก.ค.ศ. 601 อียิปต์ทำท่าว่าจะเข้มแข็งขึ้นมาอีก พระองค์ก็กบฏต่อบาบิโลน (2 พกษ.24.1) ตอนนั้นเนบูคัดเนสซาร์กำลังวุ่นอยู่กับการปกครองส่วนอื่นของจักรวรรดิเกินกว่าที่จะยกทัพมาปราบยูดาห์ แต่พอถึงปี ก.ค.ศ. 598 พระองค์ส่งกองทัพมาต่อสู้กับยูดาห์และเยรูซาเล็ม เยเรมีย์เห็นว่าพระเจ้าทรงลงโทษยูดาห์ เพราะประชาชนไม่เชื่อฟังพระองค์ (ยรม.35.17) ขณะที่กรุงเยรูซาเล็มถูกโจมตีอยู่นั้น เยโฮยาคิมได้สิ้นพระชนม์ลง อาจจะถูกปลงพระชนม์โดยประชาชนชาวยูดาห์กลุ่มหนึ่งซึ่งต้องการสวามิภักดิ์บาบิโลน

เยโฮยาคีนโอรสของเยโฮยาคิมได้เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรยูดาห์องค์ต่อไปแต่ก็ครองราช ในช่วงที่กรุงเยรูซาเล็มถูกปิดล้อม เพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้นก็ต้องยอมจำนนแก่เนบูคัดเนสซาร์และถูกจับกุมไปคุมขังที่บาบิโลนพร้อมกับข้าราชสำนักและพวกผู้นำจำนวนมาก (2 พกษ.24.8, 15-16) นี่คือ "การเป็นเชลยในต่างแดน" ครั้งแรก

เยโฮยาคินถูกจำคุกในกรุงบาบิโลนตลอดรัชสมัยของเนบูคัดเนสซาร์เป็นเวลานานถึงสามสิบห้าปี กษัตริย์บาบิโลนองค์ต่อไปจึงปล่อยพระองค์เป็นอิสระ และตั้งพระองค์ได้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจและเป็นไทแก่ตนอยู่ท่ามกลางพวกเชลยที่บาบิโลน (2 พกษ.25.27-30)

2. การเป็นเชลยครั้งที่สอง ก.ค.ศ. 587
หลังจากที่นำตัวเยโฮยาคินไปเป็นเชลยแล้ว บาบิโลนได้ตั้งมัทธานิยาห์ลุงของพระองค์ให้ปกครองกรุงเยรูซาเล็ม เนบูคัดเนสซาร์ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า เศเดคียาห์ แปลว่า "ความยุติธรรมของพระเจ้า"

ชาวยูดาห์ที่อยู่ใต้การปกครองของยูดาห์แบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่ายูดาห์ควรจะยอมรับอำนาจการปกครองของบาบิโลน อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าอียิปต์สามารถช่วยยูดาห์ให้เป็นไทได้ เศเดคียาห์มักจะโลเลอยู่เสมอ ทีแรกดูเหมือนพระองค์ถูกผลักดันให้ทำตามคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่ายูดาห์ควรยอมรับอำนาจการปกครองของบาบิโลน และอีกกลุ่มหนึ่งก็ผลักดันให้เชื่อว่าอียิปต์จะช่วยพวกเขาให้เป็นไทได้ ดังนั้นนโยบายเกี่ยวกับบาบิโลนของพระองค์จึงโลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเสมอ เมื่อต้นปี ก.ค.ศ. 594 พระองค์เข้าร่วมวางแผนกับตัวแทนของประเทศเล็ก ๆ ที่จะกบฏต่อบาบิโลน แต่ต่อมาก็ได้ส่งทูตไปบาบิโลนเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อเนบูคัดเนสซาร์ ครั้นเมื่ออาปริเป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์ขึ้นครองราชสมบัติในปี ก.ค.ศ. 589 เศเดคียาห์ก็เข้าร่วมก่อการกบฏต่อบาบิโลนอีก ทำให้เยเรมีย์ประณามเศเดคียาห์ทันที และประกาศการลงโทษของพระเจ้าต่อเศเดคียาห์ (ยรม.24.8-10) เมื่อเนบูคัดเนสซาร์ส่งกองทัพมาโจมตีเยรูซาเล็มอียิปต์พยายามช่วยเหลือยูดาห์ (ยรม.37.5) แต่ความช่วยเหลือที่อียิปต์ส่งมาให้นั้นไม่มากพอและไม่นานก็ถอนกลับไป (ยรม.37.7-9) เยเรมีย์เตือนว่าหลังกบฏจะเกิดความทุกข์เดือดร้อนตามมา กรุงเยรูซาเล็มจะถูกเผาเป็นการลงโทษ (ยรม.34.22) ท่านพูดถูก (2 พกษ.25.8-10) เศเดคียาห์พยายามหนี แต่ก็ถูกจับตัวมาลงโทษอย่างหนัก ประชาชนจำนวนมากถูกกวาดต้องไปเป็นเชลย นี่คือ "การเป็นเชลยครั้งที่สอง" ซึ่งเกิดขึ้นในปี ก.ค.ศ. 587 ถึงจะไม่หนักหนาเท่ากับครั้งแรก แต่ก็มีผลต่อพวกอิสราเอลเป็นเวลานาน เพราะบาบิโลนทำลายพระวิหารและกรุงเยรูซาเล็มเสียสิ้น

การเป็นเชลยครั้งที่ 3 (ก.ค.ศ. 582)
หลังจากที่กรุงเยรูซาเล็มถูกยึดและทำลายแล้ว บาบิโลนตั้งเกเดลิยาห์เป็นเจ้าเมืองปกครองประชาชนที่ยังเหลืออยู่ในยูดาห์ ท่านผู้นี้ปกครองอยู่ที่เมืองมิสปาร์ (2 พกษ.25.22) อิชมาเอลซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของดาวิดวางแผนลอบสังหารเกเดลิยาห์ โดยมีชาวอัมโมนสนับสนุน (ยรม.40.41) ครั้งเมื่อเกเดลิยาห์ถูกสังหารแล้ว ประชาชนชาวยิวจำนวนมากกลัวความกริ้วโกรธของบาบิโลนจึงหนีไปอยู่ที่อียิปต์ (2 พกษ.25.25)

หลักฐานจากสมัยที่เปอร์เซียปกครองส่อให้เห็นว่าการควบคุมยูดาห์ไม่ว่าเรื่องใด ๆ อาจจะมาจากกองบัญชาการประจำมณฑลซึ่งตั้งที่ทำการอยู่ที่กรุงสะมาเรีย จึงพูดได้ว่าไม่มีราชอาณาจักรยูดาห์อีกแล้ว และได้กลายเป็นส่วนของมณฑลใหญ่มณฑลหนึ่งของบาบิโลนที่อยู่เหนือขึ้นไป การเป็นเชลยในบาบิโลนไม่ใช่ประสบการณ์ที่แสนเข็ญจนเกินไป เพราะประชาชนที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่นั่นได้รับอนุญาตให้ตั้งชุมชนและสร้างบ้านเรือนของตนเองได้ พวกเขามีส่วนทำมาค้าขายในดินแดนใหม่ บางคนจึงร่ำรวยขึ้น เมื่อประชาชนยูดาห์เป็นเชลยที่บาบิโลนนั้น พวกเขาแยกตนเองอยู่ต่างหากไม่ปะปนหรือแต่งงานกับคนพื้นเมือง จึงไม่สูญเสียเอกลักษณ์ของตน ไม่เหมือนกับประชาชนในราชอาณาจักรอิสราเอลซึ่งถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในต่างแดนในสมัยที่อัสซีเรียมีอำนาจปกครอง นอกจากนี้แล้วยังมีชาวยูดาห์อาศัยอยู่ที่อียิปต์ ซึ่งภายหลังได้พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นชุมชนยิวที่เข้มแข็งอยู่ที่นั่น



3. "เพลงของพระเจ้าในแผ่นดินต่างด้าว" (เพลงสดุดี 137.4)

1. ก่อนกรุงเยรูซาเล็มล่มสลาย
เหตุการณ์ในราชอาณาจักรยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็มตอนที่บาบิโลนเรืองอำนาจ มีหลายอย่างที่เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในราชอาณาจักรอิสราเอลตอนที่อัสซีเรียเรืองอำนาจ ตอนนี้เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะคนสำคัญ เหมือนกับที่อิสยาห์เคยเป็นผู้เผยพระวจนะคนสำคัญเมื่อตอนโน้น แต่เยเรมีย์โดดเดี่ยวและว้าเหว่กว่าอิสยาห์มาก เพราะท่านถูกผู้เผยพระวจนะเท็จสมัยนั้นหลายคนต่อต้าน นอกจากเยเรมีย์แล้วก็มีแต่ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลเท่านั้นที่ยอมรับและประกาศพระพิโรธของพระเจ้าที่ทรงมีต่อยูดาห์ แต่เอเสเคียลทำงานอยู่กับพวกเชลยที่บาบิโลน ท่านเผยพระวจนะโจมตียูดาห์ด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาดและประกาศการพิพากษาลงโทษรุนแรงกว่าของเยเรมีย์ก็จริง แต่ก็ทำด้วยจุดประสงค์จะให้พวกเชลยแน่ใจว่า พวกเขาเป็นผู้ที่จะสืบทอดพระสัญญาของพระเจ้า การปกครองมนุษยชาติของพระเจ้าในอนาคตขึ้นอยู่กับพวกเขา

เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะคนสำคัญอยู่คนเดียวเท่านั้นที่ทำนายถึงภัยพิบัติของราชอาณาจักรยูดาห์ ประชาชนชาวยูดาห์ไม่ต้องการฟังคำเตือนของเยเรมีย์ พวกเขาหันกลับไปดูความเชื่อที่เคยให้ความหวังเมื่อครั้งที่อัสซีเรียเรืองอำนาจ และเชื่อในเรื่อง

(ก) วันของพระเจ้า ซึ่งเป็นวันที่พระเจ้าจะทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ เชื่อในเรื่องกษัตริย์ผู้ชอบธรรมซึ่งจะมาปกครองพวกเขา
(ข) กษัตริย์ในราชวงศ์ดาวิด
(ค) คนชอบธรรมที่เหลืออยู่จะรอดได้
(ง) นครศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระเจ้าจะทรงสถาปนาขึ้น

พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากอำนาจของบาบิโลนได้ แต่เยเรมีย์ท่านบอกอย่างชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถช่วยประชาชนที่เป็นคนอธรรมและไม่เชื่อฟังพระเจ้าได้เลย

2. หลังจากที่กรุงเยรูซาเล็มล่มสลายแล้ว
เชลยในบาบิโลนต้องประสบความยากลำบากมากที่สุด แม้พวกเขาจะต้องการรับใช้พระเจ้า แต่ที่นั่นพวกเขาไม่มีทางทำตามประเพณีทางศาสนาหลายอย่างที่เคยทำสืบต่อกันมา เพราะพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายลงแล้ว ดังนั้นการถวายเครื่องบูชาอย่างเต็มรูปแบบจึงไม่มีทางทำได้ ปุโรหิตไม่มีงานทำ ในที่สุดหีบพันธสัญญาก็ถูกชาวบาบิโลนทำลายลงในคราวนี้ จึงเห็นได้ชัดว่า ศาสนาของยูดากำลังผ่านเข้าไปในวิกฤตการณ์ที่รุนแรงมาก เนื่องจากที่บาบิโลนไม่มีสถานที่สำหรับกระทำสิ่งต่าง ๆ ตามความคิดเห็นซึ่งแต่ก่อนเคยถือว่ามีคุณค่าและมีความสำคัญยิ่ง จึงต้องค้นหาวิธีนมัสการพระเจ้าและวิธีแสดงความเชื่อฟังพระองค์แบบใหม่ ๆ มาใช้ จะว่าไปแล้วพัฒนาการใหม่นี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของลัทธิยูดาห์นิยม และเริ่มต้นเรียกชาวยูดาห์ที่เป็นเชลยด้วยชื่อใหม่ว่า "ยิว" ซึ่งชื่อนี้เริ่มปรากฎในพระคัมภีร์ตอนที่เขียนขึ้นในระยะนี้

พิธีกรรมตามประเพณีและสิ่งที่เป็นมรดกตกทอดกันมาช้านานซึ่งพวกยิวยังรักษาไว้ได้ มีดังนี้

1. การเข้าสุหนัต ประเพณีนี้สืบย้อนหลังไปได้ไกลถึงเมื่อครั้งอับราฮัมทำพันธสัญญากับพระเจ้า การเข้าสุหนัตเป็นการจำแนกแยกแยะพวกยิวออกจากชนชาติอื่น ๆ ที่ต่างก็เป็นเชลยเหมือนกัน ดันนั้นพวกต่างชาติและบาบิโลนจึงไม่มีการเข้าสุหนัต

2. วันสะบาโต การรักษาวันสะบาโตมีอยู่ในพระบัญญัติสิบประการมาตั้งแต่สมัยโมเสส เยเรมีย์เองสนับสนุนประเพณีปฏิบัตินี้ด้วยพระธรรมเอเสเคียลก็พูดถึงเรื่องนี้บ่อยครั้ง (ยรม.17.19-27, อสค.20.12, 20, 23-24)

3. เพลงสดุดี ตอนนั้นพวกยิวรู้จักเพลงสดุดีหลายบทแล้ว บางทีการรวบรวมเพลงสดุดีขึ้นเป็นเล่มขนาดเล็กอาจจะทำกันในช่วงนี้ เพลงสดุดี137 เป็นเพลงที่ระบายความรู้สึกของพวกยิวที่เป็นเชลยในบาบิโลน เมื่อชาวบาบิโลนของร้องให้พวกเขาใช้เพลงสดุดีร้องเพื่อความสนุกเพลิดเพลิน พวกยิวคงจะใช้เพลงสดุดีในการนมัสการมานานแล้ว และเมื่อเป็นเชลยก็ยังใช้อยู่

4. ธรรมบัญญัติ อิสราเอลรวบรวมกฎหมายต่าง ๆ มาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ที่เยเรมีย์ต่อว่าประชาชนอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้านั้น ท่านใช้กฎหมายหรือธรรมบัญญัติเป็นหลัก (ยรม.2.28, 8.8, 9.13,26.4) พวกยิวที่เป็นเชลยคงต้องยกย่องนับถือพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ ตอนนั้นอาจจะเป็นฉบับร่างครั้งแรกสุด คำสอนเรื่องพระเจ้าและวิถีทางต่าง ๆ ของพระองค์ซึ่งมีอยู่ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติคงจะให้กำลังใจแก่เชลยชาวยิวที่บาบิโลน

5. ประวัติศาสตร์ บางทีประวัติศาสตร์เหล่านั้นอาจจะยังไม่บันทึกไว้ในรูปแบบปัจจุบันที่เราเห็นในพระคัมภีร์ ประชาชนคงจะสะสมประวัติต่าง ๆ เช่นที่ กลุ่ม ย. (J) อนุรักษ์ไว้ก่อน และที่กลุ่ม อ. (E) อนุรักษ์ไว้ในเวลาต่อมา อันที่จริงแล้วมีตำนานจำนวนมากที่จำเป็นต้องอนุรักษ์ไว้ เพราะตำนานเหล่านั้นช่วยหล่อเลี้ยงความเชื่อของพวกยิวที่เป็นเชลยให้แข็งแรง

เห็นได้ชัดว่าระหว่างหลายปีที่อยู่ในบาบิโลนนั้นพวกยิวสะสมเรื่องราวในยุคก่อน ๆ ที่ชุมชนเห็นว่ามีคุณค่าไว้เป็นจำนวนมากและถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลัง ๆ ฟัง พวกเขาเขียนประวัติศาสตร์โดยบันทึกชีวประวัติและคำสั่งสอนของบรรดาผู้เผยพระวจนะใหญ่ รวบรวมธรรมบัญญัติต่าง ๆ และทำเป็นประมวลกฎหมายที่เรียงลำดับให้เห็นชัดขึ้นกว่าของเดิม และจัดเพลงสดุดีเป็นหมวดหมู่สำหรับใช้ในการนมัสการ


(คำถามบทที่7)

คำถาม ชุดที่ 1 - บทที่ 7


1. ชาวซีเรียคิดว่าใครคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด

(ก) เทพเจ้า
(ข) ผู้นำ
(ค) กองทัพ
(ง) รัฐบาล

2. จงเล่าถึงวิธีการที่อัสซีเรียกระทำต่อประชาชนที่พวกเขาพิชิตได้

3. จงตอบคำถามต่อไปนี้

(ก) สามช่วงไหนในประวัติศาสตร์ที่อัสซีเรียเรืองอำนาจและเป็นเอกราช
(ข) ช่วงไหนในสามช่วงนั้นที่อัสซีเรียมีอำนาจเหนือเหตุการณ์ในปาเลสไตน์และอี ยิปต์

4. ประเทศไหนบ้างที่เป็นศัตรูร้ายของอัสซีเรีย

5. ศาสนาของชาวอัสซีเรียมีลักษณะสำคัญอะไรที่ เหมือน และ ไม่เหมือน กับศาสนาของอิสราเอล



คำถาม ชุดที่ 2 - บทที่ 7


1. กษัตริย์ยูดาห์ต่อไปนี้องค์ไหนแข็งข้อกับอัสซีเรีย

อาหัส เฮเซคียาห์ มนัสเสห์ อัมโมน โยสิยาห์

2. จงตอบคำถามต่อไปนี้

(ก) ปีที่อัสซีเรียทำลายราชอาณาจักรอิสราเอลจนสิ้นชื่อนั้น กษัตริย์องค์ใดปก ครองราช อาณาจักร ยูดาห์
(ข) พระองค์มีทีท่าต่ออัสซีเรียอย่างไร

3. จงตอบคำถามต่อไปนี้

(ก) กษัตริย์องค์ใดบ้างที่ปกครองยูดาห์ขณะที่อัสซีเรียกำลังอ่อนแอ
(ข) กษัตริย์ดังกล่าวทำสงครามกับอัสซีเรียหรือไม่

4. กษัตริย์อามาซียาห์และอุสซียาห์รบชนะชนชาติใด

5. จงตอบคำถามต่อไปนี้

(ก) อัสซีเรียหวังจะให้กษัตริย์อาหัสแสดงความกตัญญูที่ตนช่วยต่อสู้กับราชอาณา จักรฝ่ายเหนืออย่างไร
(ข) หลังจากที่พ่ายแพ้ทิกลัท-ปิเลเสอร์ที่ 3 แล้ว มีอะไรเกิดขึ้นแก่ราชอาณาจักรอิสรา เอล
(ค) โปรดอธิบายคำพูดที่ว่า "นี่คือจุดจบของราชอาณาจักรฝ่ายเหนือ" (หน้า...)

6. จงอ่าน 2พงศ์กษัตริย์ 18-19 และค้นหาคำตอบคำถามต่อไปนี้

(ก) กษัตริย์ของยูดาห์องค์ไหนที่ตัดสินพระทัยก่อการกบฏต่ออัสซีเรียในปี ก.ค.ศ. 705
(ข) พระองค์หันไปขอความช่วยเหลือจากประเทศใด
(ค) พระองค์เตรียมป้องกันกรุงเยรูซาเล็มจากการถูกโจมตีอย่างไร
(ง) ตอนนั้นใครเป็นกษัตริย์ของอัสซีเรีย

7. เฮเซคียาห์กับมนัสเสห์ผู้สืบราชบัลลังก์ของพระองค์มีลักษณะสำคัญต่างกันอย่างไร

8. สองประเทศไหนที่เป็นกบฏจนทำให้อัสซีเรียค่อย ๆ เสื่อมอำนาจลง

บทที่ 7 อิสราเอลสมัยอัสซีเรีย


บทที่ 7 อิสราเอลสมัยอัสซีเรียเรืองอำนาจ (ก.ค.ศ. 802 - 610)

1. อัสซีเรียคือใคร

อัสซีเรียเป็นชนชาติหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมโสโปเตเมียนานหลายศตวรรษ มีเมืองอัสชูร์เป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไทกรีส อัสซีเรียได้กลายเป็นประเทศใหญ่และเป็นเอกราชสองครั้งในช่วงเวลาหลายศตวรรษ ครั้งแรกในสมัยบรรพชนต้นตระกูลยิว ครั้งที่สองใกล้กับสมัยที่อิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ ในศตวรรษที่ 9 ก.ค.ศ. อัสซีเรียยกทัพมารุกรานปาเลสไตน์ ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่อัสซีเรียเป็นเอกราชและย่างเข้าสู่ยุคที่มีความเข้มแข็งที่สุด
ชาวอัสซีเรียบันทึกเรื่องราวของกษัตริย์และเจ้านายต่าง ๆ เรื่องการทำสงครามและส่วยที่ประเทศแพ้สงครามส่งไปให้ บันทึกเหล่านี้ยังมีอยู่และช่วยให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ของอิสราเอลดีขึ้น อัสซีเรียควบคุมประเทศต่าง ๆ ที่ตนปราบได้ด้วยการจัดเขตปกครองขึ้นใหม่ โดยยกเลิกเส้นกั้นพรมแดนเดิมของประเทศเหล่านั้นเสีย แล้วตั้งแคว้นใหม่ขึ้นมาพร้อมกับสร้างเมืองหลวงใหม่แทนเมืองหลวงเดิม ถ้าประชาชนยังขืนก่อการกบฏแข็งข้อก็จะถูกกวาดต้อนจากภูมิลำเนาเดิมให้ไปอยู่ที่บริเวณอื่นในจักรวรรดิอัสซีเรีย มีเพียงไม่กี่ชาติที่ยอมสวามิภักดิ์ต่ออัสซีเรียและได้รับอนุญาตให้คงระบอบการปกครองและการเมืองของตนไว้เหมือนเดิมแต่ต้องอยู่ใต้ปกครองของผู้นำที่อัสซีเรียเป็นผู้เลือกให้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้น
กษัตริย์ที่สำคัญ ๆ ของอัสซีเรียมีดังนี้
ทิกลัท-ปิเลเสอร์ที่ 3 (Tiglath-Pileser III) ก.ค.ศ. 745-727แชลมาเนเสอร์ที่ 5 (Shalmaneser V) ก.ค.ศ. 727-722ซาร์กอนที่ 2 (Sargon II) ก.ค.ศ. 722-705เซนนาเคอริบ (Sennacherib) ก.ค.ศ. 705-681เอสาร์ฮัดโดน (Esarhaddon) ก.ค.ศ. 681-699อาเชอร์บานิปัล (Ashurbanibal) ก.ค.ศ. 669-631
ทิกลัท-ปิเลเสอร์ที่ 3 สถาปนาการปกครองของอัสซีเรียเหนือบริเวณต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ 6 นอกจากอิยิปต์ ซึ่งกว่าอัสซีเรียจะปราบได้ก็เลยไปจนถึงสมัยของเอสาร์ฮัดโดนและอาเชอร์บานิปัล กษัตริย์องค์ถัดจากทิกลัท-ปิเลเสอร์ที่ 3 ลงมาล้วนแต่ต้องพิสูจน์อำนาจของตนในการปกครองจักรวรรดิไว้ให้ได้ ศัตรูของอัสซีเรียในเวลานั้น นอกจากอียิปต์แล้วยังมีบาบิโลนที่เป็นเสมือนหอกข้างแคร่ซึ่งเป็นคู่แข่งกันมาตลอด และยังมีประเทศมีเดียและเอลามที่คอยสร้างความเดือดร้อนให้อัสซีเรียอยู่เสมอ และในปี ก.ค.ศ. 614 และ ก.ค.ศ. 612 ชาวมีเดียก็เข้าโจมตีและยึดกรุงอัสชูร์ได้ กองทัพของมีเดียและบาบิโลนร่วมมือกันโจมตีและทำลายเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอัสซีเรียในรัชสมัยของเซนนาเคอริบ ชาวอัสซีเรียที่เหลืออยู่ซึ่งพยายามรักษาเอกราชของตนไว้แต่ก็ต้องถูกโจมตีพ่ายแพ้ในปี ก.ค.ศ. 610
ศาสนาของชาวอัสซีเรียชาวอัสซีเรียเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ แต่ละเมืองมีเทพเจ้าของตนเอง พระอัสชูร์เป็นเทพเจ้าประจำเมืองอัสเชอร์ซึ่งเป็นเมืองหลวง ถือเป็น "เจ้าแห่งเทพทั้งหมด" อิชทาร์เป็นอิตถีเทพแห่งกรุงนีนะเวห์ บรรดากษัตริย์ทั้งหลายต่างเชื่อว่าที่ตนสามารถชนะชาติศัตรูได้ก็เพราะเทพต่าง ๆ โดยเฉพาะอัสชูร์เป็นผู้ประทานชัยชนะให้ และถือว่าศัตรูของตนเป็นพวกที่กบฏและไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าจึงต้องลงโทษให้เข็ดหลาบ ซาร์กอนที่ 2 บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า "โดยประกาศิตของเทพเจ้าอัสชูร์ พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะลงโทษด้วยการให้ความพ่ายแพ้แก่พวกเขา" เซนนาเคอริบ ก็นำเอาความคิดเห็นคล้ายกันนี้มาใช้โดยกล่าวว่า "ด้วยความช่วยเหลือของอัสชูร์ พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ปะทะและทำให้พวกเขาพ่ายไป" ที่จริงแล้วคำว่า "อัสซีเรีย" มาจากคำว่า "อัสเชอร์ " อันเป็นชื่อเมืองหลวงและ "อัสชูร์" ชื่อเทพเจ้าของพวกเขา

2. อำนาจของอัสซีเรียในอิสราเอลและยูดาห์

เราสามารถแบ่งศึกษาเป็นตอน ๆ ตามรัชสมัยของกษัตริย์อัสซีเรียแต่ละพระองค์ดังนี้
1. ช่วงที่อัสซีเรียอ่อนแอ (ก.ค.ศ. 800 - 745)แม้อัสซีเรียทำลายล้างอำนาจของซีเรียได้ในปี ก.ค.ศ. 802 แต่ในเวลาเดียวกันอัสซีเรียเองก็มีประเทศข้างเคียงตั้งตัวเป็นศัตรูอยู่มากจนไม่สามารถมาปราบอิสราเอลและยูดาห์ได้ ดังนั้นอิสราเอลจึงว่างเว้นจากการแทรกแซงของต่างชาตินานกว่าครึ่งศตวรรษ กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรทั้งสองจึงวางแผนเข้าควบคุมประเทศเล็ก ๆ ในปาเลสไตน์และที่ฟากโน้นของแม่น้ำจอร์แดน
ในราชอาณาจักรอิสราเอลนี้ทั้งในรัชสมัยของกษัตริย์เยโฮอาชและเยโรโบอัมที่ 2 ก็ต่างมีชัยชนะเหนือประเทศเหล่านั้น จนสามารถแผ่อำนาจไกลขึ้นไปทางเหนือจนไปถึงราชอาณาจักรฮามัทและเลยไปถึงกรุงดามัสกัส ในราชอาณาจักรยูดาห์ก็เช่นกัน ฮามาซิยาห์โจมตีเอโดมและยึดได้เมืองหนึ่งที่อยู่ด้านใต้ของทะเลตายลงไป 50 ไมล์ (2 พกษ.14.7) อุสซียาห์ หรืออาซาริยาห์ทรงสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ (2พศด.26.9, 15) และขยายอำนาจของยูดาห์ไปยังเอโดมทรงปราบปรามพวกฟีลิสเตียได้ นอกจากนี้แล้วยังควบคุมบางเผ่าที่อยู่ในทะเลทรายอาราเบียได้ (2พศด.2 6.6-8) ซึ่งผลของชัยชนะเหล่านั้นทำให้ยูดาห์และอิสราเอลมีอำนาจมาก
หลังจากนั้นก็เป็นเวลาสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอิสราเอลเชื่อว่านั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยในการปรนนิบัติรับใช้ของพวกเขา แต่ผู้เผยพระวจนะสองท่านคือ อาโมส และโฮเชยากลับชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าไม่พอพระทัยพวกอิสราเอล เพราะประชาชนแข่งขันแย่งชิงเกียรติยศและความร่ำรวยประพฤติตนไม่ยุติธรรมแก่คนจน กราบไหว้พระอื่นโดยเฉพาะเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ แม้แต่ผู้เผยพระวจนะก็พูดแต่เอาใจประชาชน ไม่ได้พูดความจริง
2. ทิกลัท-ปิเลเสอร์ที่ 3 (ก.ค.ศ.745-727)กษัตริย์อัสซีเรียองค์นี้ทรงนำกองทัพต่อสู้กับบาบิโลน อูราห์ทู และมีเดียจนได้ชัยชนะ พระองค์ทำให้อัสซีเรียเข้มแข็งพอที่จะพยายามเข้าควบคุมประเทศเล็ก ๆ ในปาเลสไตน์และฟากโน้นของแม่น้ำจอร์แดน สามารถบังคับให้ดินแดนในภาคเหนือส่วนใหญ่ส่งส่วยให้กับตน
ขณะที่โยธามสิ้นพระชนม์ อาหัสได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์ยูดาห์แทน พระองค์ทรงขอร้องอัสซีเรียให้ยกทัพมาช่วยปราบศัตรูของตน (2พกษ. 16.7-8) ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ตักเตือนและคัดค้านนโยบายนี้ (อสย.7.17) แต่อาหัสไม่ยอมฟังเสียง ทิกลัท-ปิเลเสอร์ที่ 3 ยกทัพใหญ่มาต่อสู้กับประเทศต่าง ๆ ที่แข็งข้อพระองค์ โจมตีฟีลิสเตียและสร้างป้อมที่แม่น้ำอียิปต์ (ดูแผนที่ 2) แล้วก็โจมตีราชอาณาจักรอิสราเอลและทำลายเมืองต่าง ๆ ไปเป็นจำนวนมาก
ในรัชสมัยโฮเชยาขึ้นครองราชสมบัตินั้นพระองค์ยอมจำนนต่ออำนาจอัสซีเรีย (2พกษ.15.30,17.3) ทิกลัท-ปิเลเสอร์จึงแบ่งราชอาณาจักรอิสราเอลออกเป็นสามแคว้น แคว้นหนึ่งมีเมืองเมกิดโดเป็นเมืองหลวง แคว้นหนึ่งมีเมืองโดร์เป็นเมืองหลวง และอีกแคว้นหนึ่งที่ฝั่งโน้นของแม่น้ำจอร์แดนมีเมืองกิเลอาดเป็นเมืองหลวงทั้งหมดตกเป็นแคว้นของจักรวรรดิอัสซีเรีย และปล่อยให้อิสราเอลเป็นรัฐเล็ก ๆ อยู่บนภูเขาเอฟราอิมหลังจากนั้นทิกลัท-ปิเลเสอร์ก็ยกทัพไปตีดามัสกัสในปี ก.ค.ศ. 732
3. แชลมาเนเสอร์ที่ 5 (ก.ค.ศ. 727-722)เมื่อทิกลัท-ปิเลเสอร์สิ้นพระชนม์ กษัตริย์โฮเชยาแห่งอิสราเอลพยายามจะปลดแอกปกครองของอัสซีเรีย พระองค์จึงไปขอความช่วยเหลือจากอียิปต์ แต่ตอนนั้นอียิปต์กำลังอ่อนแอเกินกว่าที่จะให้ความช่วยเหลือได้ แชลมาเนเสอร์จึงยกทัพมาปิดล้อมกรุงสะมาเรียและจับโฮเชยาจำคุก (2พกษ.17.1-4)
4. ซาร์กอนที่ 2 (ก.ค.ศ. 722 - 705)ซาร์กอนที่ 2 เป็นกษัตริย์ต่อจากแชลมาเนเสอร์ที่ 5 สามารถยึดกรุงสะมาเรียได้ในปี ก.ค.ศ. 721 กวาดต้อนบุคคลชั้นนำไปไว้ประเทศอื่นเป็นจำนวน27,290 คน (2พกษ.17.5-6) นี่คือจุดจบของราชอาณาจักรอิสราเอล เพราะพวกที่ถูกกวาดต้อนเชลยพากันแต่งงานกับคนในแผ่นดินที่ตนไปอาศัยอยู่ นอกจากนี้แล้ว ซาร์กอนที่ 2 ยังนำเอาชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ในอิสราเอล แม้ว่าคนเหล่านั้นจะได้รับการสั่งสอนให้นมัสการพระเจ้า แต่ก็ได้ผลเพียงแค่เพิ่มพระเจ้าอีกองค์หนึ่งเข้าไปในความเชื่อของพวกเขา (2พกษ. 17.41) ชาวอิสราเอลที่สะมาเรียแต่งงานกันผสมกลมกลืนกับชาวต่างชาติ ทำให้สูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นชาติที่พระเจ้าทรงแยกไว้เป็นพิเศษ ลูกหลานของเขากลายเป็นชนชาติที่เรียกกันว่าชาวสะมาเรียนั่นเอง
ราชอาณาจักรยูดาห์รอดพ้นจากการถูกทำลายก็เพราะกษัตริย์อาหัสยอมสวามิภักดิ์ต่ออัสซีเรีย และเมื่อเฮเซคียาห์ครองราชสมบัติในปี 715 พระองค์ทรงวางแผนจะแยกตัวออกจากการควบคุมของอัสซีเรียแต่พระองค์ก็ทรงอดทนรอคอยจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม แม้จะมีหลายประเทศร่วมมือกับอียิปต์ที่กำลังกบฏต่ออัสซีเรียแต่พระองค์ก็ไม่เข้าร่วมกบฏด้วย จึงทำให้อัสซีเรียไม่ได้รบกวนยูดาห์ เมื่อซาร์กอนสิ้นพระชนม์เฮเซคียาห์ทรงเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรที่จะร่วมกบฏด้วยทรงหันไปเป็นพันธมิตรกับบาบิโลน แต่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ต่อว่าเฮเซคียาห์ที่พึ่งความช่วยเหลือจากต่างชาติ สักวันหนึ่งบาบิโลนจะมาปกครองยูดาห์
5. เซนนาเคอริบ (ก.ค.ศ. 705-681)ในปี ก.ค.ศ. 701 เซนนาเคอริบโอรสผู้สืบบัลลังก์ต่อจากซาร์กอน ยกทัพไปโจมตีประเทศต่าง ๆ ที่แข็งข้อ ทั้งที่ปาเลสไตน์และที่ฝั่งโน้นของแม่น้ำจอร์แดน สามารถพิชิตเมืองไทระ บิบลอส อารวัด อัชโดด โมอับ เอโดม และอัมโมน ซึ่งล้วนแต่ยอมสวามิภักดิ์พระองค์ และเวลานั้นยูดาห์ทำให้ยูดาห์ประสบความเดือดร้อนอย่างหนัก หลังจากปี ก.ค.ศ. 701 มาแล้วมีการกบฏต่ออัสซีเรียเกิดขึ้นหลายครั้ง จนกระทั่งปี ก.ค.ศ. 691 เซนนาเคอริบพ่ายแพ้ประเทศต่าง ๆ ในเมโสโปเตเมียที่ผนึกกำลังกันต่อสู้พระองค์อย่างยับเยิน แต่หลังจากนี้เซนนาเคอริบก็เอาชนะบาบิโลนได้อีกหลายครั้งในปี ก.ค.ศ. 689 ในปีถัดมาเซนนาเคอริบได้กรีฑาทัพมายังปาเลสไตน์พยายามจะตียูดาห์ให้ได้แต่กษัตริย์เฮเซคียาห์ยังดึงดันไม่ยอมแพ้ แต่ในเวลานั้นที่กองทัพอัสซีเรียที่ได้ปิดล้อมกรุงเยรูซาเล็มไว้ได้อันตธานไปโดยไม่บอกกล่าวและไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ประชาชนยูดาห์จึงพากันโมทนาพระคุณพระเจ้าที่ช่วยพวกตนให้รอดปลอดภัย พวกเขาเชื่อว่านั่นคือหมายสำคัญแสดงว่าพระองค์ทรงพิทักษ์รักษาประชาชนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเสมอ (2พกษ.19.32-34)
6. อัสซีเรียกับอียิปต์กษัตริย์อัสซีเรียสองพระองค์ต่อมาคือ เอสาร์ฮัดโดน และ อาเชอร์บานิปัลรับภาระในการปราบปรามอียิปต์ ซึ่งคอยยุแหย่ประเทศเล็ก ๆ ในปาเลสไตน์ให้ก่อความยุ่งยากแก่อัสซีเรียอยู่เนือง ๆ ซึ่งทั้งสองพระองค์สามารถยึดเมืองเมมฟิส ดินดอนสามเหลี่ยมของอียิปต์ และทำลายเมืองเธเบสได้ จนกระทั่งอัสซีเรียสามารถบรรลุถึงความยิ่งใหญ่สูงสุดของตน แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น
ในช่วงปี ก.ค.ศ. 687- 642 เป็นรัชสมัยของมนัสเสห์ที่ปกครองยูดาห์ กษัตริย์พระองค์นี้ใน 2 พงษ์กษัตริย์ 21.1-18 ได้บันทึกไว้ว่า มนัสเสห์ทรงสนับสนุน "การกระทำอันน่าเกลียดน่าชัง" ทุกอย่าง คือ พระองค์ยอมจำนนต่ออัสซีเรียและสนับสนุนประชาชนให้กระทำพิธีตามแบบศาสนาอื่น ซึ่งอัมโมนโอรสของมนัสเสห์ได้เป็นกษัตริย์ต่อจากพระองค์ (ก.ค.ศ. 642 - 640) ก็ทรงดำเนินนโยบายอย่างเดียวกันกับพระราชบิดา
7. ช่วงปีท้าย ๆ ของอัสซีเรียตอนที่มนัสเสห์เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์อยู่นั้น บาบิโลนก่อกบฏต่ออัสซีเรียอีกครั้งในปี ก.ค.ศ. 652 ในระหว่างที่กำลังต่อสู้กับบาบิโลนอยู่นั้น อียิปต์ก่อกบฏขึ้นและสามารถปลดแอกการปกครองของอัสซีเรียได้ นี่คือตอนที่อัสซีเรียเริ่มเสื่อมอำนาจลง เมื่อโยสิยาห์เป็นกษัตริย์ยูดาห์ พระองค์ทรงฉวยโอกาสพยายามจะกอบกู้อิสระภาพให้แก่ยูดาห์ พระองค์ทรงปฏิรูปชีวิตด้านศาสนาของยูดาห์ เนื่องจากมีการค้นพบพระคัมภีร์ม้วนหนึ่งในพระวิหารเกือบจะแน่ใจได้ว่าเป็นร่างเดิมของพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ อัสซีเรียไม่สามารถขัดขวางมิให้ยูดาห์ประกาศอิสระภาพ เมื่อฟาโรห์เนโคแห่งอียิปต์ยกทัพไปช่วยอัสซีเรียที่กำลังแตกพ่ายโยสิยาห์ขัดขวางจึงถูกสังหารที่เมกิดโดในปี ก.ค.ศ. 609 (2พกษ.23.29)

3. ตะบองแห่งความกริ้วของพระเจ้า

ในประวัติศาสตร์ตอนนี้อิสราเอลต้องทนทุกข์อันเกิดจากประสบการณ์ใหม่ที่ไม่น่าอภิรมย์ พวกเขาต้องพ่ายแพ้อัสซีเรียซึ่งเป็นชาติที่มีอำนาจเหนือกว่าตนมากนัก แต่ความขมขื่นนี้จากประสบการณ์นี้เองทำให้พวกเขาเข้าใจพระเจ้าและวิธีการที่พระองค์ทรงใช้ในโลกนี้
1. พระเจ้ากับเทพอาชูร์สมัยนั้นประชาชนเชื่อว่าแต่ละชาติมีเทวาธิราชของตนเอง และเชื่อด้วยว่าพระองค์เป็นผู้นำชัยชนะในการทำสงครามมาให้ ชาวอัสซีเรียเชื่อว่าที่ตนชนะสงครามได้เพราะอำนาจของเทพอาชูร์ ข้าราชการอัสซีเรียตำแหน่งรับชาเคห์เคยใช้ความคิดเห็นนี้เกลี้ยกล่อมประชาชนในกรุงเยรูซาเล็มให้ยอมแพ้ (2พกษ. 18.33-35) สำหรับอิสราเอลนั้น ผู้เผยพระวจนะหลายท่านก็เคยทำนายล่วงหน้าไว้แล้วว่าอิสราเอลจะพ่ายแพ้ พระเจ้าทรงวางแผนให้อิสราเอลถูกทำลายและถูกกวาดต้อนเป็นเชลย (อมส.3.11, 5.27, ฮชย.10.14, 11.5-6 และอสย.5.13) ผู้เผยพระวจนะเชื่อว่าพระเจ้าเพียงแต่ใช้อัสซีเรียมาลงโทษประชาชนของพระองค์เท่านั้น (อสย.7.17-20) แต่คราวใดที่อัสซีเรียโอ้อวดชัยชนะหรือใช้ความรุนแรงเกินกว่าที่พระเจ้าเจตนาไว้ พระองค์ก็ทรงลงโทษพวกเขาคราวนั้น เพื่ออัสซีเรียจะได้รู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ลงโทษพวกเขา บรรดาผู้เผยพระวจนะเชื่อว่าพระเจ้าทรงควบคุมเหตุการณ์ทุกอย่างแม้พวกอัสซีเรียจะมีเสรีภาพในการเลือกกระทำได้ด้วยตนเอง แต่พระองค์ก็สามารถใช้การกระทำของพวกเขาทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ และทรงมีอำนาจในการจำกัดชัยชนะของพวกเขาไว้ในขอบเขตที่เป็นประโยชน์ตามพระประสงค์ของพระองค์
2. พระเจ้ากับอิสราเอลสาเหตุที่ประชาชนอิสราเอลถูกลงโทษก็เพราะพวกเขาทำชั่วไว้มากไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ทำผิดในเรื่องการนมัสการ และในเรื่องความอยุติธรรมในสังคม แม้พวกผู้เผยพระวจนะจะเตือนหรือโจมตีซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่ออิสราเอลไม่ฟังจึงสมควรที่อิสราเอลกับยูดาห์จะได้รับความทุกข์ทั้งหมดที่มาจากอัสซีเรีย
3. ความหวังเพียงอย่างเดียวเพราะอิสราเอลเห็นว่าพระเจ้าไม่คุ้มครองพวกเขาแล้ว ดังนั้นในเวลาที่มีความทุกข์เดือดร้อนพวกเขามักจะหันไปขอพึ่งความช่วยเหลือหรือเป็นพันธมิตรกับชาติต่าง ๆ ที่เกลียดชังอัสซีเรียด้วยเหตุผลเดียวกัน ผู้เผยพระวจนะพยายามคัดค้านการกระทำดังกล่าวเสมอ เช่น อิสยาห์เตือนอาหัสไม่ให้ขอความช่วยเหลือจากอัสซีเรีย (อสย.7) และเตือนกษัตริย์เฮเซคียาห์ด้วยว่าความช่วยเหลือจากอียิปต์ก็ไร้ประโยชน์ (อสย.19) แต่ความหวังอย่างเดียวที่อิสยาห์ให้แก่กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้คือพวกเขาจะต้องวางใจในพระเจ้าและนำประชาชนให้วางใจในพระเจ้าแต่องค์เดียวเท่านั้น สำหรับการพิพากษาของพระเจ้าจะเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน ไม่มีใครขัดขวางได้

(คำถามบทที่6) )

คำถาม ชุดที่ 1 - บทที่ 6
1. โปรดอธิบายความแตกต่างระหว่าง
(ก) ประเทศที่เรียกว่า "อิสราเอล" ในรัชสมัยของกษัตริย์ซาโลมอนกับประเทศอิสรา เอลหลังจากที่กษัติริย์ซาโลมอนสิ้นพระชนม์แล้ว(ข) ประเทศซีเรียกับประเทศอัสซีเรีย
2. มหาอำนาจภายนอกชาติใดที่บุกเข้าโจมตีประเทศเล็กๆ ในปาเลสไตน์อย่างกว้างขวางเป็นชาติแรกในช่วงนี้
3. ทำไมฟาโรห์ ชีชักที่ 1 ซึ่งยกทัพมาโจมตีอิสราเอลและเชเคมเมืองหลวงของราชอาณาจักรฝ่ายเหนืออย่างรุนแรงแต่กลับละเว้นเยรูซาเล็ม
4. จงตอบคำถามต่อไปนี้
(ก) ประเทศไหนบ้างที่ผนึกกำลังกันเพื่อป้องกันตนเองจากการโจมตีของอัสซีเรียที่ นำทัพโดย แชลมาเนสเสอร์ ที่ 3 (ข) ฝ่ายไหนได้ชัยในสงครามที่การ์การ์ สงครามครั้งนั้นเกิดขึ้นปีไหน (ค) การที่อัสซีเรียเอาชนะซีเรียได้ในปี ก.ค.ศ. 802 ทำให้เกิดผลที่สำคัญมากอย่างไร
5. เวลาใดในช่วงนี้ที่ชาติเล็กชาติน้อยรวมพลังกันได้อย่างดีที่สุด และเพราะเหตุใด



คำถาม ชุดที่ 2 - บทที่ 6
1. เรื่องราวของราชอาณาจักรอิสราเอลและราชอาณาจักรยูดาห์ช่วงปี ก.ค.ศ. 922-802 อยู่ในพระธรรมเล่มใด
2. จงตอบคำถามต่อไปนี้
(ก). จงอธิบายสถานการณ์และเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้อิสราเอลแตกแยกเป็นสอง ราชอาณาจักรหลังจากที่กษัตริย์ซาโลมอนสิ้นพระชนม์แล้ว (ข). ทำไมเมื่อแบ่งแยกออกเป็นสองราชอาณาจักรแล้วกรุงเยรูซาเล็มจึงตกอยู่ใน อันตราย (ค). ดินแดนของเผ่าไหนที่ก่อให้เกิดการขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและยูดาห์
3. จงให้เหตุผลสามประการว่าทำไมเรโหโบอัมจึงสามารถรักษาสถานภาพของรัฐยูดาห์ไว้ได้อย่างราบรื่นหลังจากที่ราชอาณาจักรอิสราเอลแยกออกไปแล้ว
4. จงเล่าว่าเยโรโบอัมต้องเผชิญปัญหาอะไรบ้างในราชอาณาจักรอิสราเอลที่เพิ่งแยกออกมาและพระองค์แก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร
5. ในราชอาณาจักรอิสราเอล เมื่อกษัตริย์ถูกปลงพระชนม์ในสงครามหรือในการปฏิวัติ ผู้อื่นก็จะเข้ามายึด อำนาจเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ แต่ในราชอาณาจักรยูดาห์นั้น แม้อาหัสยาห์และอาธาลิยาห์จะถูกปลงพระชนม์ในการปฏิวัติ แต่กษัตริย์ที่เปลี่ยนใหม่ก็ยังคงอยู่ในราชวงศ์เดียวกัน
(ก). ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น (ข). ผู้เผยพระวจนะในสองราชอาณาจักรมีบทบาทในการผลัดแผ่นดินใหม่ต่างกัน อย่างไร
6. รายชื่อกษัตริย์แต่ละคู่ต่อไปนี้ องค์หนึ่งปกครองราชอาณาจักรยูดาห์อีกองค์หนึ่งปกครองราชอาณาจักรอิสราเอล ทั้งสองเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกัน
(ก) เรโหโบอัมกับเยโรโบอัม (ข) อาสากับบาอาซา (ค) เยโฮชาฟัทกับอาหับ (ง) เยโฮรัม (สององค์ชื่อเหมือนกัน)
7. จงตอบคำถามต่อไปนี้
(ก). อะไรทำให้ราชวงศ์อมรีหมดอำนาจลง (ข). ทำไมฟีนิเซียจึงกลับเป็นศัตรูของอิสราเอลอีก



คำถาม ชุดที่ 3 - บทที่ 6
1. จงตอบคำถามต่อไปนี้
(ก). ทำไมพระนางเยเซเบลจึงสนับสนุนการนมัสการพระบาอัลในราชอาณาจักรอิสราเอล (ข). อันตรายที่ใหญ่มากสองอย่างอันอาจจะเกิดกับพวกอิสราเอลจากการนมัสการพระบาอัลคืออะไร
2. เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลต่อไปนี้บันทึกไว้ในพระธรรมเล่มไหนในพันธสัญญาเดิม
(ก). เรื่องอิสราเอลเข้าไปตั้งหลักแหล่งในปาเลสไตน์ (ข). กษัตริย์ดาวิดทรงทำให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล (ค). ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ต่อต้านการนมัสการพระบาอัล (ง). ซาอูลได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล (จ). ราชอาณาจักรอิสราเอลแตกเป็นสองฝ่าย(ฉ). โมเสสพาพวกอิสราเอลไปที่ภูเขาซีนาย
3. จงตอบคำถามต่อไปนี้
(ก). ในสมัยของเราพันธุกรรมหรือการสืบสายโลหิตมีบทบาทอย่างไรในการเลือกผู้ปกครองประเทศ (ข). คุณคิดว่าคนที่เชื่อว่าตนเองเกิดมาเป็นกษัตริย์หรือเป็นผู้นำจะปกครองประเทศได้ดีเสมอไปหรือ ไม่ โปรดอธิบายและยกตัวอย่างประกอบด้วย
4. การนมัสการพระบาอัลมีอะไรบ้างที่เหมือนกับการนมัสการหรือศาสนพิธีของคนในประเทศไทยเรื่องเอลียาห์มีความสำคัญสำหรับคนไทยหรือไม่และอย่างไร
5. คุณเชื่อหรือไม่ว่าพระเจ้ากำลังทำให้พระราชประสงค์ของพระองค์สำเร็จในประเทศไทย ถ้าเชื่อเช่นนั้นโปรดอธิบายว่าพระประสงค์พิเศษสำหรับคนไทยคืออะไร
6. ปัจจุบันมีประเทศไหนบ้างที่ศาสนามีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งและกำหนดหน้าที่ของกษัตริย์

บทที่ 6 สองราชอาณาจักร


บทที่ 6 สองราชอาณาจักร (ประมาณ ก.ค.ศ. 922-802)

1. ยุคทองของชาติเล็ก
ในรัชสมัยของดาวิดและซาโลมอน อิสราเอลครองความเป็นใหญ่ในปาเลสไตน์ และดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนได้นานกว่าครึ่งศตวรรษ ชาติเล็กที่อยู่ใกล้เคียงยอมสวามิภักดิ์ต่ออิสราเอลซึ่งมีความเป็นปึกแผ่น แต่เมือซาโลมอนสิ้นพระชนม์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เกิดการปฏิวัติจนทำให้อิสราเอลแตกเป็นสองราชอาณาจักรเหนือใต้ ราชอาณาจักรทางเหนือเรียกว่า "อิสราเอล" มีดินแดนกว้างใหญ่ ประกอบด้วย 10 เผ่า ราชอาณาจักรทางใต้เรียกว่า "ยูดาห์" ความแตกแยกนี้ทำให้อิสราเอลไม่สามารถรักษาอำนาจในการปกครองเพื่อนบ้านได้อีกต่อไป
ประเทศที่เคยอยูใต้ปกครองของอิสราเอลต่างก็ได้รับเอกราช เมื่อฟิลิสเตียได้รับเอกราช ชาติอื่นๆ เช่นอัมโมน โมอับ และเอโดมก็พลอยได้รับเอกราชไปด้วย ไม่มีชาติใดมีอำนาจพอควบคุมชาติอื่น จึงเป็นยุคทองของชาติเล็กชาติน้อย ชาติเหล่านี้ทะเลาะเบาะแว้งเรื่องเขตแดนและแย่งชิงหัวเมืองตามชายแดนกันเป็นประจำ แต่บางครั้งก็จับมือกันต่อสู้กับประเทศที่เป็นศัตรูร่วมของตน เอกภาพเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเมื่อถูกศัตรูภายนอกอันได้แก่อียิปต์และอัสซีเรียบุกรุก
1. อียิปต์อียิปต์เป็นชาติแรกที่บุกโจมตีชาติเล็กชาติน้อยเหล่านี้ ในปี ก.ค.ศ. 918 ฟาโรห์ชิชักที่ 1 เริ่มเข้ายึดครองปาเลสไตน์ ชิชักบุกเข้าไปในอิสราเอลด้วยพลังมหาศาล ทำลายเมืองต่างๆ ของปาเลสไตน์ถึง150 แห่ง พระองค์โจมตีเมืองเชเคมเมืองหลวงของอาณาจักรฝ่ายเหนือ จนต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเปนูเอลแทน (1พงศ์กษัตริย์12.25) อียิปต์ยกทัพมาโจมตีอย่างรวดเร็วและก็ถอนทัพอย่างรวดเร็วเช่นกัน
2. อัสซีเรียภายใต้การนำของกษัตริย์หลายองค์ อัสซีเรียยกทัพมาโจมตีชาติต่างๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ และประสบความสำเร็จหลายครั้ง หนึ่งในบรรดากษัตริย์เหล่านั้นได้แก่อาเชอร์ นาเซอร์ปัลที่ 2 ซึ่งครองราชสมบัติในปี ก.ค.ศ. 883-853 พระองค์โจมตีซีเรียและเมืองต่างๆ ของพวกฟีนิเซียที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แชลมาเนเสอร์ที่3โอรสขอพระองค์ก็โจมตีชาติเล็กชาติน้อยหลายครั้ง ทำให้อิสราเอล ซีเรีย และฮามัธต้องผนึกกำลังเพื่อป้องกันตนเองโดยทำสงครามกันที่ การ์การ์ (Qar Qar) ในปี ก.ค.ศ. 853 อัสซีเรียอ้างว่าได้ชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่
ปี ก.ค.ศ. 802 อาดัดนิรานิ กษัตริย์อัสซีเรียยกทัพมารบซีเรีย และบังคับซีเรียให้ยอมจำนน หลังจากนั้นซีเรียก็ไม่เข้มแข็งพอที่จะมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในปาเลสไตน์อีกเลย อัสซีเรียเข้ามาแทรกแซงยูดาห์และอิสราเอลอยู่ระยะหนึ่ง
2. อิสราเอลกับยูดาห์
ตอนนี้เราจะศึกษาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของอิสราเอลและยูดาห์ในช่วงที่กษัตริย์ ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ (ก.ค.ศ. 922) เหตุการณ์เหล่านั้นส่วนใหญ่จะพบในพระธรรม 1 พงศ์กษัตริย์( 1 พงศ์กษัตริย์ 12: 1-2 )
1. การปฏิวัติ (1พงศ์กษัตริย์ 12.1-2)การเก็บภาษีอย่างหนักและการเกณฑ์แรงงานที่กษัตริย์ซาโลมอนนำมาบังคับใช้ ทำให้ประชาชนไม่พอใจ ตอนที่กษัตริย์ซาโลมอนยังทรงพระชนม์อยู่ ผู้เผยพระวจนะอาหิยาห์เคยสนับสนุนเยโรโบอัมให้ทำการปฏิวัติมาแล้วแต่ก็ล้มเหลว เมื่อซาโลมอนสิ้นพระชนม์ลง เรโหโบอัมราชโอรสได้เป็นกษัตริย์ปกครองประเทศอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มเมืองหลวงซึ่งอยู่ท่ามกลางประชาชนทางภาคใต้ ประชาชนทางภาคเหนือต้องการให้ลดภาษีและทำให้ชีวิตของพวกตนสะดวกสบายขึ้นบ้าง จึงขอให้เรโหโบอัมเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ พระองค์เชื่อบรรดาที่ปรึกษาของพระองค์ซึ่งเป็นกลุ่มคนหนุ่มที่แนะนำไม่ให้ยอมทำตามคำของร้องของประชาชน เวลานั้นเยโรโบอัมซึ่งลี้ภัยไปอยู่อียิปต์ได้กลับมาอิสราเอลแล้ว ประชาชนทางภาคเหนือจึงก่อการปฏิวัติแยกออกไปปกครองตนเอง โดยเลือกเยโรโบอัมให้เป็นกษัตริย์ของตน
2. อิทธิพลของผู้เผยพระวจนะได้เห็นแล้วว่า ผู้เผยพระวจนะอาหิยาห์เป็นผู้สนับสนุนเยโรโบอัมให้เป็นกษัตริย์ และมีผู้เผยพระวจนะอีกท่านหนึ่งที่เคยเตือนไม่ให้เรโหโบอัมปกครองประชาชนทางภาคเหนือโดยวิธีบีบบังคับ ดังนั้นผู้เผยพระวจนะ จึงเริ่มมีอิทธิพลในราชอาณาจักรอิสราเอลที่อยู่ทางเหนือ ประชาชนอิสราเอลเองก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงเลือกกษัตริย์โดยผ่านทางผู้เผยพระวจนะ กษัตริย์องค์ต่อๆ มาจึงต้องได้รับการรับรองจากผู้เผยพระวจนะว่าเป็นผู้มีสิทธิ์ในการครองราชสมบัติของตน และประชาชนเองก็คาดหวังว่าผู้เผยพระวจนะคือผู้ที่รู้ว่าใครควรเป็นกษัตริย์ของพวกเขา
3. ราชอาณาจักรอิสราเอลที่ตั้งขึ้นใหม่ราชอาณาจักรยูดาห์เล็กกว่าราชอาณาจักรอิสราเอล ยูดาห์มีกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง มีพระวิหารและมีกษัตริย์เป็นคนในราชวงศ์ดาวิด จึงง่ายที่เรโหโบอัมและกษัตริย์ยูดาห์องค์ต่อ ๆ มาจะรักษาสถานภาพของรัฐยูดาห์ไว้ได้
ภาระของเยโรโบอัมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอิสราเอลยากกว่านั้นมาก เพราะพระองค์ต้องเลือกเมืองหลวงที่เหมาะสม เริ่มแรกพระองค์ทรงปกครองราชอาณาจักรอยู่ที่เมืองเชเคม (1พงศ์กษัตริย์ 12: 25)เมื่อฟาโรห์ยกทัพเข้ามาโจมตีปาเลสไตน์ในปี ก.ค.ศ. 918 ดูเหมือนว่าเยโรโบอัมจะต้องย้ายราชสำนักของพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปอยู่ที่เปนูเอลเพื่อความปลอดภัย (1พงศ์กษัตริย์ 12:25) ภายหลังก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองทีรซาห์ (1พงศ์กษัตริย์ 14: 17) จนกระทั่งกษัตริย์อมรีขึ้นครองราชย์จึงย้ายเมืองหลวงไปที่กรุงสะมาเรีย เป็นแห่งสุดท้าย (1 พงศ์กษัตริย์ 16: 24 ,29 )
สถานนมัสการแห่งชาติก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เยโรโบอัมต้องเผชิญ เพราะหีบพันธสัญญาประดิษฐานอยู่ในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ประชาชนอิสราเอลคุ้นเคยกับการเดินทางจาริกแสวงหาบุญไปนมัสการที่พระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่กรุงเยรูซาเล็มอันเป็นราชธานีที่กษัตริย์ดาวิดทรงสถาปนาขึ้นอยู่ในเขตแดนของราชอาณาจักรยูดาห์ เยโรโบอัมซึ่งปกครองราชอาณาจักรฝ่ายเหนือจะยอมให้พลเมืองของตนใช้กรุงเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลางนมัสการต่อไปไม่ได้ พระองค์จึงสร้างประเพณีนี้ใหม่ขึ้นในอิสราเอล โดยเลือกเมืองเบธเอลและเมืองดาน เป็นศุนย์กลางการนมัสการแทน และทรงสร้างรูปทองคำไว้ด้วย (1พงศ์กษัตริย์ 12:26-33 )
ประชาชนในราชอาณาจักรอิสราเอลเอารูปวัวทองคำนี้ไปผูกพันกับประเพณีขอความอุดมสมบูรณ์ที่คนนับถือศาสนาอื่นสมัยนั้นทำกันอย่างแพร่หลายในปาเลสไตน์ และประชาชนจำนวนมากในราชอาณาจักรฝ่ายเหนือก็เป็นคนเชื้อสายคานาอันซึ่งเคยนมัสการเช่นนั้นมาก่อน ผู้เขียนพระธรรมพงศ์กษัตริย์ตำหนิเยโรโบอัมซ้ำแล้วซ้ำอีกที่สร้างรูปวัวทองคำนี้ แล้วสนับสนุนประชาชนให้หลงผิดไปนมัสการแบบนอกลู่นอกทาง (1พงศ์กษัตริย์ 13:34, 15:30, 34 2พงศ์กษัตริย์ 10: 29,13:6, 14: 24, 17.22 ) แม้แต่ผู้เผยพระวจนะอาหิยาห์ผู้เลือกและสนับสนุนเยโรโบอัมขึ้นเป็นกษัตริย์ก็ไม่ยอมรับพระองค์ (1พงศ์กษัตริย์ 14:1-16)
4. ความขัดแย้งระหว่างยูดาห์กับอิสราเอลกษัตริย์ดาวิดทรงเลือกเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงเพราะตั้งอยู่ระหว่างดินแดนสองฝ่ายที่อยู่ในความปกครองของพระองค์ เมื่ออิสราเอลแยกตัวเป็นอิสระจากราชวงศ์ดาวิดแล้วกรุงเยรูซาเล็มจึงตกอยู่ในอันตราย เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนย่อมถูกโจมตีได้ง่าย และกษัตริย์เรโหโบอัมได้ยึดดินแดนของเผ่าเบนยามินซึ่งเคยเป็นของฝ่ายเหนือ รวมเข้าเป็นของอาณาจักรฝ่ายยูดาห์
สองราชอาณาจักรนี้ทะเลาะกันตลอดด้วยเรื่องสิทธิในการปกครองเผ่าเบนยามิน (1พงศ์กษัตริย์ 14:30) นาดับโอรสของเยโรโบอัมแห่งอิสราเอลถูกบาอาชาปลงพระชนม์และขึ้นครองราชแทน (1พงศ์กษัตริย์ 15.27-28) บาอาชาพยายามจะปลดปล่อยเผ่าเบนยามินออกจากการปกครองของยูดาห์ซึ่งกษัตริย์อาสาปกครองอยู่ โดยยึดเมืองรามาห์ในดินแดนของเผ่าเบนยามินแล้วใช้เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารเพื่อเข้าไปแทรกแซงยูดาห์ กษัตริย์อาสาจึงติดสินบนกษัตริยซีเรียให้โจมตีเมืองต่างๆที่อยู่ทางภาคเหนือของราชอาณาจักรอิสราเอล ให้บาอาชาทิ้งเมืองรามาห์เคลื่อนทัพไปที่ภาคเหนือแทน แล้วกษัตริย์อาสาก็สร้างป้อมปราการขึ้นที่เกบาและมิสปาห์ในดินแดนของเบนยามินเพื่อป้องกันเยรูซาเล็มไม่ให้ถูกแทรกแซงอีก (1พงศ์กษัตริย์15:16-22) กษัตริย์ของอิสราเอลองค์หลังๆพยายามจะเป็นมิตรกับยูดาห์
5. การปกครองของราชวงศ์อมรี
ก. กษัตริย์อมรี เรื่องราวของพระองค์อยู่ในพระธรรม (1พงศ์กษัตริย์16.15 เป็นต้นไป )พระธรรมพงศ์กษัตริย์พูดถึงอมรีไว้ไม่มาก ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นกษัตริย์ที่สำคัญองค์หนึ่งของอิสราเอล พระองค์เป็นผู้เลือกเมืองสะมาเรียเป็นเมืองหลวง และสร้างสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้าน ทรงจัดอาหับราชโอรสของพระองค์อภิเษกสมรสกับเยเซเบลเจ้าหญิงแห่งฟีนิเซีย (1พงศ์กษัตริย์ 16.31)
พระองค์สามารถข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปควบคุมโมอับได้ เมชากษัตริย์องค์หนึ่งของชาวโมอับบันทึกไว้บนศิลาจารึกว่า "อมรีกษัตริย์ของอิสราเอล สร้างความเดือดร้อนให้แก่โมอับหลายปี เพราะเทพเคโมชของชาวโมอับพิโรธแผ่นดินของพระองค์"
ข. กษัตริย์อาหับ อาหับเป็นโอรสของอมรี (1พงศ์กษัตริย์ 16.28) พระองค์อนุญาตให้ประชาชนเข้าร่วมพิธีขอความอุดมสมบูรณ์ได้ตามใจชอบ ทำให้คนเชื้อสายคานาอันในราชอาณาจักรพอใจการปกครองของพระองค์ การนมัสการพระบาอัลจึงเป็นที่นิยมแพร่หลาย เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงเรียกผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ให้มากล่าวโทษประชาชนที่นมัสการพระเทียมเท็จว่า "ท่านทั้งหลายจะขยักขย่อนอยู่ระหว่างสองฝ่ายนี้นานสักเท่าใด ถ้าพระเยโฮวาทรงเป็นพระเจ้า จงติดตามพระองค์ ถ้าพระบาอัลเป็นก็จงตามท่านไปเถิด (1พงศ์กษัตริย์ 18.21) เรื่องเอลียาห์ท้าทายกษัตริย์อาหับและประชาชนอิสราเอลอยู่ในพระธรรม 1พงศ์กษัตริย์บทที่ 17-21
ค. ราชวงค์อมรีหมดอำนาจ ก่อนอาหับจะสิ้นพระชนม์ในสนามรบ พระองค์มีความขัดแย้งกับเข้าไปมีส่วนขัดแย้งกับซีเรีย เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งซีเรียจึงยกทัพเข้ายึดเมืองราโมท-กิเลอาดทางเหนือของอิสราเอล อาหับยกทัพไปต่อสู้ เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ยกทัพไปช่วย แต่อาหับถูกปลงพระชนม์ในสนามรบ อาหัสยาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อ ไม่นานก็ประสบอุบัติเหตุสิ้นพระชนม์ (2พงศ์กษัตริย์1.2) เยโฮรัมโอรสอีกองค์หนึ่งของอาหับขึ้นครองราชย์ต่อ รัชสมัยของเยโฮรัมเต็มด้วยการทำสงคราม พระองค์พยายามจะเข้าควบคุมโมอับแต่ก็ล้มเหลว และยังทำสงครามกับซีเรียต่อไปจนได้รับบาดเจ็บสาหัสในสนามรบ
ผู้เผยพระวจนะเอลีชาฉวยโอกาสขจัดอำนาจของราชวงศ์อมรีและจัดการเจิมเยฮูซึ่งเป็นแม่ทัพคนหนึ่งขึ้นเป็นกษัตริย์ เยฮูปลงพระชนม์เยโฮรัมแล้วขึ้นครองราชย์แทน
6. ราชอาณาจักรยูดาห์กับราชวงศ์อมรีกษัตริย์ของยูดาห์สามองค์แรกขัดแย้งกับกษัตริย์ของอิสราเอลเพื่อแย่งกันครอบครองแผ่นดินของเผ่าเบนยามิน แต่อมรีกับราชวงศ์ต้องการเป็นมิตรกับยูดาห์ การที่อาธาลิยาห์ธิดาของกษัตริย์อาหับอภิเษกกับเยโฮรัมโอรสของเยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ จึงเป็นเครื่องหมายของการสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีของทั้งสองราชอาณาจักร แต่เยโฮรัมอยู่ใต้อิทธิพลของมเหสีอาธาลิยาห์เช่นเดียวกับที่อาหับแห่งอิสราเอลอยู่ใต้อิทธิพลของพระนางเยเซเบล พระองค์จึงสนับสนุนให้มีการนมัสการพระบาอัลในยูดาห์ แม้แต่ในกรุงเยรูซาเล็มก็ไม่เว้น เนื่องจากเยโฮรัมสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด พวกผู้เผยพระวจนะจึงไม่ต่อต้านพระองค์อย่างดุเดือดเท่ากับที่ต่อต้านกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอล
ขณะที่ราชอาณาจักรอิสราเอลกำลังเดือดร้อนเพราะโมอับก่อการกบฏ ในราชอาณาจักรยูดาห์เองก็เดือดร้อนเพราะเอโดมกบฎเช่นกัน (2 พงศ์กษัตริย์ 8.20) เมื่อเยโฮรัมแห่งยูดาห์สิ้นพระชนม์ อาหัสยาห์ราชโอรสจึงขึ้นเป็นกษัตริย์แทนได้ไม่กี่เดือน แม่ทัพเยฮูก็ก่อการปฏิวัติขึ้นในราชอาณาจักรอิสราเอลและปลงพระชนม์กษัตริย์โยรัมแห่งอิสราเอลและกษัตริย์อาหัสยาห์แห่งยูดาห์ซึ่งไปเยี่ยมโยรัมที่กำลังบาดเจ็บด้วย (2พงศ์กษัตริย์ 9.27-28) จึงทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับยูดาห์ขึ้นอีก
7. ยุคแห่งความอ่อนแอ การปฎิวัติของเยฮูทำลายราชวงศ์อมรีและความสงบสุขที่ประเทศต่างๆนิยมชมชอบการปกครองของราชวงศ์อมรี ยูดาห์ตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอล ส่วนฟีนิเซียก็หันมาสู้กับอิสราเอลเพราะเยฮูปลงพระชนม์พระนางเยเซเบลซึ่งเป็นเจ้าหญิงองค์หนึ่งของพวกเขา (2พงศ์กษัตริย์ 9.30-34) เวลาเดียวกันอัสซีเรียก็ได้บุกปาเลสไตน์และบังคับให้อิสราเอลส่งส่วย เยฮูสูญเสียอำนาจในการควบคุมดินแดนทั้งหมดที่อยู่ทางฟากโน้นของแม่น้ำจอร์แดนซึ่งอิสราเอลเคยอ้างว่าเป็นของตน (2พงศ์กษัตริย์ 10.32.33)
สถานการณ์ในยูดาห์ก็มีความวุ่นวายเช่นเดียวกัน โดยซีเรียยกทัพมาโจมตีเมืองกัทในราชอาณาจักรยูดาห์และต้องการจะโจมตีเยรูซาเล็มต่อไป แต่ก็ถอยทัพกลับไปเมื่อยูดาห์ยอมเอาทองคำจำนวนมากถวายเป็นเครื่องบรรณการ (2พงศ์กษัตริย์ 12.17-18, 24.23-24) เมื่อซีเรียอ่อนกำลังประชาชนทั้งในยูดาห์และอิสราเอลก็มีการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
3. ปัญหาสามประการของประชาชนของพระเจ้า
1. ปัญหาเกี่ยวกับกษัตริย์สำหรับอิสราเอลแล้วการแต่งตั้งกษัตริย์เป็นเรื่องทางศาสนา กษัตริย์มีหน้าที่ทำตามพระเจตนาของพระเจ้าและชักนำประชาชนให้เชื่อฟังพระองค์ กษัตริย์สามองค์ที่ประชาชนยอมรับว่าพระเจ้าทรงเลือกให้ปกครองพวกตนคือ ซาอูล ดาวิด และซาโลมอน แต่ไม่มีองค์ใดปกครองด้วยความบริสุทธิ ยุติธรรมและด้วยความฉลาด
หลังจากที่ซาโลมอนสิ้นพระชนม์แล้ว ประชาชนอยากได้กษัตริย์ที่ปกครองประเทศอย่งมีประสิทธิภาพ และทำในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย มีปัญหาว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก เรโหโบอัมอ้างสิทธิในการปกครองประเทศเพราะพระองค์เกิดในราชวงศ์ดาวิด เยโรโบอัมอ้างว่าพระองค์ได้รับเลือกจากผู้เผยพระวจนะ นี่คือข้อแตกต่างทางเทววิทยาเรื่อง "พระเจ้าทรงเลือกษัตริย์ด้วยวิธีไหน"
ประชาชนในราชอาณาจักรยูดาห์เชื่อว่าหน้าที่อย่างหนึ่งของกษัตริย์คือการให้กำเนิดบุตรชายเพื่อสืบราชบัลลังก์ และเชื่อด้วยว่าราชวงศ์ดาวิดเท่านั้นที่มีสิทธิปกครองราชอาณาจักรของพระเจ้า แต่ประชาชนในราชอาณาจักรอิสราเอลเชื่อว่า ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นกษัตริย์ต้องเป็นผู้ใหญ่แล้ว และมีผู้เผยพระวจนะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลว่าผู้ใดมีคุณสมบัติที่จำเป็นและเหมาะสมในการปกครองราชอาณาจักรของพระเจ้า
ประชาชนในราชอาณาจักรทั้งสองกำลังขับเคี่ยวกับปัญหาว่า "อะไรทำให้คนเป็นกษัตริย์ที่ดีได้" เพราะชาติกำเนิด (เช่นเกิดในราชวงศ์ดาวิด) หรือเพราะผลของการดำเนินชีวิตของผู้นั้นกันแน่ (มีผู้เผยพระวจนะตรวจสอบความเหมาะสม) ประชาชนยอมรับและเห็นความสำคัญของอิทธิพลทั้งสองนี้ โดยตัวมันเองแล้วอิทธิพลไม่สามารถสร้างกษัตริย์ที่ดีพร้อมได้ ผู้ที่เกิดมาเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์ดาวิดอาจจะกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลชั่วร้ายได้ เช่น เยโฮรัม ( 2 พงศ์กษัตริย์ 10:30-31 ) หรือคนที่ผู้เผยพระวจนะเลือกเพราะมีบุคลิกและความสามารถดีก็อาจจะสร้างความผิดหวังให้ได้ เช่น กษัตริย์เยฮูแห่งอิสราเอล (2พงศ์กษัตริย์ 10.30-31)
2. ปัญหาเกี่ยวกับพระบาอัลความขัดแย้งด้านศาสนาที่รุนแรงที่สุดในช่วงนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระบาอัล ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์กลายเป็นบุคคลสำคัญในพระธรรมพงศ์กษัตริย์ เพราะท่านต่อสู้กับการนมัสการพระบาอัลอย่างเต็มที่โดยไม่เกรงกลัว
คำว่า " บาอัล " เป็นภาษาฮีบรูแปลว่า " เจ้านาย " หรือ เจ้าของ เป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ซึ่งมีอยู่หลายองค์ด้วยกัน เรียกชื่อต่างกันไปตามเขตแดนที่แต่ละองค์เป็นใหญ่ เช่น บาอัลเปโอร์ เป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งเมืองเปโอร์ เชื่อกันว่าเทพเจ้าเหล่านี้เป็นผู้ดูแลและควบคุมพืชผล ฝูงสัตว์และมนุษย์ที่อยู่ในท้องที่หรือในอาณาเขตของใครของมันให้เกิดลูกดก เทพเหล่านี้จะสิ้นชีพในฤดูแล้ง และเป็นขึ้นมาใหม่ในฤดูฝน เป็นวิธีอธิบายว่าทำไมต้นพืชจึงเหี่ยวเฉาตายในฤดูร้อนและเป็นขึ้นมาใหม่ในฤดูฝน
การนมัสการพระบาอัลมีอันตรายสำหรับอิสราเอล 2 ประการ คือ
1. มันอาจจะทำให้พวกเขาหันเหไปจากการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น หรือ อย่างน้อยก็ทำให้หลงเข้าใจผิดว่าพระเจ้าเป็นเพียงภาพปรากฏอีกลักษณะหนึ่งของพระบาอัลก็ได้
ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ทำทุกสิ่งเพื่อพิสูจน์ว่าพระบาอัลไร้อำนาจ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถบอกได้ว่าจะเกิดความแห้งแล้งหรือฝนจะตกเมื่อใดก็ได้ ขณะที่เอลียาห์สำแดงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ก็ต้องเผชิญกับความพิโรธ และการต่อต้านของพระนางเยเซเบล พระนางมีอำนาจในราชอาณาจักรอิสราเอล เอลียาห์จึงถูกบีบบังคับให้หนีไปหลบภัย
เอลียาห์ได้รับประสบการณ์ที่ภูเขาซีนาย (โฮเรบ) พระเจ้าทรงสำแดงแก่ท่านอย่างชัดเจนที่สุดด้วย "เสียงเบา ๆ " (1 พงศ์กษัตริย์ 19:11-12 ) คนที่ขานรับสียงที่พระเจ้าตรัสกับตนในใจจะรู้ว่า พระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจ สามารถทำให้พระราชประสงค์ของพระองค์สำเร็จได้ทุกประการ แม้พระนางเยเซเบลก็ไม่อาจจะเอาชนะพระเจ้า
3. ปัญหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ตอนนี้เราใช้พระธรรมสิบสามเล่มแรกของพันธสัญญาเดิมมาแล้วสิบสองเล่ม เพื่อศึกษาประวัติของอิสราเอล เราต้องตระหนักว่าไม่มีเล่มใดในสิบสองเล่มนี้เขียนขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น ผู้คนในสมัยซึ่งเรากำลังศึกษาอยู่นี้ไม่มีใครได้อ่านเลยแม้แต่เล่มเดียว หลายเรื่องที่อยู่ในพระธรรมสิบสองเล่มนี้เป็นเรื่องที่พวกเขารู้และจดจำไว้แล้วเล่าสืบปากกันไป ยังไม่มีใครสักคนที่พยายามนำมาเรียบเรียงให้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของอิสราเอล
สมัยนั้นบางเรื่องในพระธรรมบางเล่มที่อยู่ในลักษณะของบันทึกประจำวัน ผู้เขียนเพียงแต่บันทึกเป็นเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในชีวิตของสองราชอาณาจักรไว้โดยไม่ได้แสดงว่าเรื่องใดอยู่ตอนใดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เช่น มีบันทึกเรื่องการสร้างพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ที่แน่ๆ จะต้องมีผู้บันทึกเรื่องราวของผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ ทั้งในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปไม่นาน ผู้บันทึกเพียงแต่สนใจเรื่องความขัดแย้งทางศาสนาครั้งสำคัญ และเรื่องของเอลียาห์ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของเรื่องเท่านั้น
ช่วงนี้เป็นครั้งแรก ที่มีผู้พยายามทำเค้าโครงของเรื่องต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงติดต่อกับอิสราเอลนักวิชาการหลายคนพูดถึงเอกสารที่พวกเขาเรียก เอกสาร"ย" (J) เพราะเป็นเอกสารที่เขียนขึ้นในราชอาณาจักรยูดาห์ และเรียกพระเจ้าว่า "ยาห์เวห์" (เยโฮวาห์) เอกสารนี้บันทึกประวัติศาสตร์ของอิสราเอลตั้งแต่งอับราฮัมจนถึงสมัยพิชิตปาเลสไตน์ เพื่อแสดงว่าพระสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่อับราฮัมสำเร็จเป็นความจริงในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลได้อย่างไร แม้ว่าเอกสารที่ว่านี้ปัจจุบันไม่มีแล้ว แต่เรารู้ว่าพวกนักเขียนพระธรรมหลายเล่มในพันธสัญญาเดิมนำมาใช้บางส่วน
ผู้เขียนเอกสาร "ย" อาจมีกำลังใจเขียนเอกสารนี้ขึ้นมาเพราะรู้ว่าในรัชสมัยดาวิดอิสราเอลเคยรุ่งเรืองมาแล้ว แต่พอถึงสมัยของผู้เขียน "ย" ราชอาณาจักรได้แตกออกเป็นสองฝ่าย ความยิ่งใหญ่ที่เคยมีมาในอดีตกาลก็เลือนหายไปแทบจะหมด ในอดีตพระเจ้าทรงกระทำเพื่ออิสราเอลมาแล้ว และที่ทรงกระทำผ่านทางอิสราเอลมาก็มากต่อมาก มีคำถามว่าเดี๋ยวนี้พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์อะไร ผู้เขียน "ย" ไม่ได้พยายามตอบคำถามนี้ คงจะตั้งคำถามในหนังสือเพื่อให้ประชาชนรู้สึกตัวว่า พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงมีแผนการอะไรสำหรับคนในสมัยของท่าน นักเทศน์และนักเขียนรุ่นหลังจะต้องคิดถึงแผนการของพระเจ้าที่ทรงกระทำเพื่ออิสราเอลต่อไป โดยถามว่า "ทำไมพระเจ้าจึงสร้างประชาชนของพระองค์ขึ้นมา และประทานแผ่นดินพระสัญญาให้แก่พวกเขา"

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2551

บทที่ 5 กษัตริย์องค์แรกๆ ของอิสราเอล

บทที่ 5 กษัตริย์องค์แรกๆ ของอิสราเอล (ประมาณ ก.ค.ศ. 1000 - 922)
1. อำนาจของพวกฟีลิสเตีย
ถึงแม้ว่าผู้วินิจฉัยทุกคนจะพยายามสักเท่าใด อิสราเอลก็ไม่สามารถยึดครองแผ่นดินปาเลสไตน์ได้ทั้งหมด พวกเขาจึงได้ตั้งหลักแหล่งในบริเวณที่ยึดครองได้เท่านั้น อียิปต์กับอัสซีเรียขาดผู้นำที่เข้มแข็งมานานกว่า 100 ปี จึงไม่มีบทบาทสำคัญในคานาอัน ศัตรูของอิสราเอลหลายเผ่ายังคงฮึกหาญ อิสราเอลต้องปราบปรามชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายให้ราบคาบเสียก่อนจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข แต่ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของพวกเขาคือพวกฟีลิสเตียและชาวทะเลเผ่าต่างๆ
พวกฟีลิสเตียเข้ามาตั้งหลักแหล่งแถบที่ราบชายทะเลตอนใต้ของปาเลสไตน์ และครองหัวเมือง 5 แห่งคือ กาซา อัชเคโลน อัชโดด กัทและเอคโรน แต่ละหัวเมืองมีเจ้าเมืองปกครอง เมื่อเกิดสงครามทั้งห้าหัวเมืองนี้จะร่วมกันต่อสู้ อัชโดดเป็นเมืองศูนย์กลางมีเทวสถานของ "พระดาโกน" เทวาธิราชหรือประมุขแห่งเทพทั้งปวงตั้งอยู่ ฟีลิสเตียเป็นพวกแรกในปาเลสไตน์ที่รู้จักใช้เหล็กทำเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ก่อนหน้านี้พวกเขาใช้ทองสัมฤทธิ์ อาวุธที่ทำด้วยเหล็กมีประสิทธิภาพกว่าอาวุธที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ทำให้ฟีลิสเตียสามารถรบชนะศัตรูของตน
พระธรรม 1 ซามูเอลบทที่ 4 พูดถึงสงครามครั้งแรกระหว่าง อิสราเอลกับฟีลิสเตีย ฟีลิสเตียเป็นฝ่ายชนะ อิสราเอลจึงหามหีบพันธสัญญาไปในสนามรบด้วย เพื่อบำรุงขวัญและกำลังใจแก่นักรบของตน เพราะเชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตกับพวกเขา เมื่อพวกฟีลิสเตียเห็นหีบพันธสัญญาก็กลัวแต่ก็รบจนชนะอิสราเอลในที่สุด หีบพันธสัญญาถูกยึดไป บุตรชายสองคนของเอลีที่รับผิดชอบดูแลหีบพันธสัญญาถูกสังหาร เมื่อปุโรติเอลีได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น ท่านก็ช็อคจนถึงแก่ความตาย
นี่คือสิ่งเลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับอิสราเอล พวกเขาเชื่อว่าหีบพันธสัญญาเป็นเครื่องหมายแสดงว่าฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอยู่กับพวกเขา แต่หีบก็ถูกผู้นับถือพระอื่นยึดไป พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานแผ่นดินคานาอันให้แต่กลับถูกชาติอื่นแย่งชิงไป อิสราเอลผูกพันกันด้วยพันธสัญญาที่มีการรื้อฟื้นเป็นประจำทุกปีที่เมืองชิโลห์ แต่เมืองชิโลห์ก็ถูกทำลายลงแล้ว
ถึงกระนั้นก็ตามยังมีผู้นำท่านหนึ่งเหลืออยู่ในอิสราเอล ท่านผู้นี้คือซามูเอลผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้รับใช้พระองค์ ท่านเริ่มต้นรับใช้พระเจ้าที่เมืองชิโลห์ โดยกล่าวตักเตือนเอลีและบุตรชายของท่านที่ทำผิด (1ซามูเอล 3.10-14) แล้วย้ายไปรามาห์ซึ่งเป็นบ้านเดิมที่ครอบครัวของท่านเคยอาศัยอยู่ ทุกๆปีท่านต้องเดินทางไปวินิจฉัยและพิพากษาเรื่องต่างๆท่ามกลางอิสราเอล 12 เผ่า (1ซามูเอล 7.15-17) และเมื่อถึงเวลาอันควรท่านก็เป็นผู้แต่งตั้งกษัตริย์ให้ปกครองอิสราเอล
2. กษัตริย์ของอิสราเอล
พวกอิสราเอลเลือกกษัตริย์ของตนเพื่อเป็นผู้นำกองทัพต่อสู้กับพวกฟีลิสเตีย กองทัพที่มีการจัดตั้งดีและมีวินัยเคร่งครัดเท่านั้นจึงจะสามารถเอาชนะพวกฟีลิสเตียได้ การระดมอาสาสมัครจากเผ่าต่าง ๆ อย่างที่เคยทำกันในสมัยผู้วินิจฉัยนั้นไม่มีประสิทธิภาพพอ อิสราเอลจำเป็นต้องมีผู้นำที่สามารถสร้างกองทัพถาวรและฝึกทำสงครามให้พร้อมอยู่เสมอ ซามูเอลมีบทบาทสำคัญในการเลือกกษัตริย์องค์แรก ๆ ของอิสราเอล
1. ซาอูลกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอลเรื่องการเลือกซาอูลเป็นกษัตริย์บันทึกไว้ในพระธรรม 1ซามูเอล บทที่ 8-12 ชาวอียิปต์มีประเพณีเจิมข้าราชสำนักให้รับผิดชอบต่อฟาโรห์ ดูเหมือนซามูเอลนำประเพณีนี้มาใช้เพื่อเจิมผู้นำอิสราเอลให้รับผิดชอบต่อพระเจ้า ก่อนที่ซาอูลจะเจิมกษัตริย์ท่านีความลังเลใจ เพราะเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของพวกอิสราเอลอยู่แล้ว (1ซามูเอล8.7,10.19) และท่านกลัวว่ากษัตริย์จะใช้อำนาจในทางที่ผิด (1ซามูเอล 8.11-18)
พวกอิสราเอลยอมรับซาอูลอย่างเต็มที่เมื่อซาอูลพิสูจน์ความเป็นผู้นำกองกำลังออกทำสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะนั้นชาวอัมโมนพยายามยึดหัวเมืองของอิสราเอลที่ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ซาอูลรวบรวมเผ่าต่างๆออกไปต่อสู้และช่วยเมืองนั้นให้พ้นการโจมตี (1ซามูเอล บทที่11 ) ไม่นานซาอูลก็ขัดแย้งกับฟีลิสเตีย (1ซามูเอล 13-14) ซึ่งเวลานั้นซาอูลมีกองทัพที่ถาวรแล้วซา(1ซามูเอล 3.2) และตั้งโยนาธานโอรสของพระองค์ให้บังคับบัญชากองทัพส่วนหนึ่ง โยนาธานรบชนะฟีลิสเตียที่ตั้งค่ายอยู่ที่เกบาด้านเหนือของเยรูซาเล็ม
ขณะที่พวกฟีลิสเตียยังคงก่อความเดือดร้อนให้ไม่หยุด ศัตรูของอิสราเอลหลายพวกกำลังเคลื่อนไหวอย่างเข้มแข็งอยู่ในปาเลสไตน์ 1 ซามูเอล15 พูดเรื่องการทำสงครามกับอามาเลข ซาอูลต้องนำอิสราเอลทำสงครามอยู่บ่อยๆ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้พระองค์เครียดทั้งร่างกายและอารมณ์ จึงเริ่มมีอารมณ์ร้าย (1ซามูเอล 16.14-23) จนขัดแย้งกับซามูเอลที่คอยห้ามไม่ให้พระองค์ทำอะไรตามใจชอบเกินไป ซาอูลทรงต้องการตัดสินพระทัยด้วยตนเองว่าจะทำอะไรกับคน สัตว์ และสิ่งของที่ริบได้จากการทำสงคราม (1ซามูเอล 15.9) แทนที่จะเชื่อฟังพระประสงค์ของพระเจ้าตามที่ซามูเอลตีความให้ ซาอูลล้มเหลวที่ไม่ได้รับใช้พระเจ้าตามสมควร (1ซามูเอล 15.22-23) ความผิดพลาดที่สำคัญที่สุดของซาอูลอาจเป็นเพราะทรงริษยาดาวิด (1ซามูเอล27.1) แต่ดาวิดกลับให้เกียรติซาอูลในฐานะที่ได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล จึงหลีกเลี่ยงไม่ยอมให้เกิดความขัดแย้งกับพระองค์(1ซามูเอล 24.10,26.9)
การปกครองของซาอูลสิ้นสุดลง เมื่อฟีลิสเตียยกทัพมาปราบอิสราเอลอีก พวกเขายกทัพมาที่เมืองอาเฟก ซึ่งอยู่ทางเหนือของทุ่งราบเอสเดรอีโลน ซาอูลตั้งทัพที่ภูเขากิลโบอา สงครามครั้งนั้นดุเดือดมาก โอรสของซาอูลสามองค์สิ้นชีพในสนามรบและซาอูลก็ได้ปลงพระชนม์ตนเอง (1ซามูเอล 31.3-4)
2. กษัตริย์ดาวิดหลังซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว อิสราเอลต้องการกษัตริย์องค์ใหม่ซึ่งน่าจะได้แก่ดาวิด ซามูเอลเคยเลือกท่านให้เป็นกษัตริย์ไว้ก่อนแล้ว(1ซามูเอล 16.1-13) ท่านเคยสังหารโกลิอัทแม่ทัพของฟีลิสเตีย (1ซามูเอล 17.48-49)ท่านประสบความสำเร็จในกองทัพของซาอูล (1ซามูเอล 18.12-16) ท่านซ่องสุมผู้คนและฝึกจนกลายเป็นกองโจรที่แกร่งกล้า(1ซามูเอล 22.2)
ประชาชนอิสราเอลยอมรับดาวิดเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของพวกเขา (1ซามูเอล2.1-4) และเจิมท่านที่เมืองเฮโบรน ดูเหมือนพวกฟีลิสเตีย ก็ยอมรับและสนับสนุนเรื่องการแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ เพราะเห็นว่าการแต่งตั้งครั้งนี้อาจเป็นผลดีแก่พวกเขา จะทำให้อิสราเอลแตกแยกกันเอง
แต่ในฝ่ายของอับเนอร์แม่ทัพของซาอูลประกาศว่าเอชบาอัลโอรสของซาอูลต้องได้เป็นกษัตริย์ ไม่ใช่ดาวิด (2ซามูเอล 2.8-10) พระธรรมซามูเอลเรียกเอชบาอัลว่า อิชโบเชท แปลว่า "บุรุษแห่งความอัปยศ" แต่พระธรรม1พงศาวดาร 8.33,9.39 บอกว่าชื่อของท่านคือ "เอชบาอัล" แปลว่า "พระบาอัลมีชีวิตอยู่" เอชบาอัลเป็นกษัตริย์ได้ไม่กี่เดือน เพราะความอ่อนแอจึงตกอยู่ใต้อำนาจของอับเนอร์ แต่เมื่อเกิดการขัดแย้งอับเนอร์จึงหันไปสนับสนุนดาวิด (2ซามูเอล 3.6-11) โยอาบแม่ทัพของดาวิดไม่ชอบอับเนอร์ กลัวว่าอับเนอร์ชิงอำนาจเหนือกองทัพไปจากตนจึงสังหารอับเนอร์เสีย (2ซามูเอล3.23-17) เอชบาอัลถูกชายสองคนปลงพระชนม์เพื่อแก้แค้น (2ซามูเอล 4.7-8) ดาวิดปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจึงทรงลงโทษชายสองคนนั้นด้วยการประหารชีวิต เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ดาวิดสามารถครอบครองอิสราเอลได้ทั้งหมด (2ซามูเอล 5.1-3) ทำให้พวกฟีลิสเตียไม่พอใจจึงยกทัพมาที่หุบเขาเรฟาอิมและบาอัลเปราซิมแต่ดาวิดสามารถเอาชนะได้ทั้งสองแห่ง
ดาวิดตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะรวมเผ่าต่างๆ ให้เป็นประเทศเดียว จึงทรงตัดสินพระทัยตั้งเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง เพราะเยรูซาเล็มไม่เคยเป็นของยูดาห์หรือของอิสราเอลมาก่อน และตั้งอยู่ระหว่างอิสราเอลและยูดาห์จึงเหมาะที่จะเป็นศูนย์รวมชีวิตของชาติและอัญเชิญหีบพันธสัญญามาประดิษฐานที่กรุงเยรูซาเล็ม
เมื่อดาวิดเอาชนะฟีลิสเตียครั้งนั้นได้แล้ว ดูเหมือนจะทำลายอำนาจของพวกเขาจนหมดสิ้น เมืองต่างๆของชาวคานาอันก็กลายเป็นอาณาจักรของพระองค์ด้วย ดินแดนปาเลสไตน์ทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนอยู่ใต้การควบคุมของดาวิดทั้งหมด และยังเอาชนะเผ่าต่างๆ ที่พูดภาษาอารัมทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนอีกด้วย (2ซามูเอล 8.12) ช่วงเวลานี้เองดาวิดทรงผิดประเวณีกับนางบัทเชบาภรรยาของอูรีอาห์ชาวฮิตไทต์ จึงถูกผู้เผยพระวจนะนาธันกล่าวโทษ
ในรัชสมัยดาวิดนี้เองที่อิสราเอลมีอำนาจมากกว่าสมัยใดๆ ดาวิดทรงเป็นกษัตริย์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยกย่องยิ่งกว่ากษัตริย์องค์ใด ๆ ของอิสราเอล รัชสมัยของดาวิดสิ้นสุดลงด้วยความวุ่นวายเป็นระยะเวลานาน พระองค์ทรงลังเลพระทัยในการเลือกว่าใครควรสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ ดาวิด มีมเหสีหลายองค์ และมีโอรสหลายองค์ (2ซามูเอล 3.2-5) บรรดาโอรสทั้งหลายต่างก็หวังว่าจะได้รับเกียรตินี้ โดยเฉพาะโอรสองค์ใหญ่ ทำให้สถานการณ์ตอนนั้นสับสนวุ่นวาย
เมื่อดาวิดใกล้จะสิ้นพระชนม์ อาโดนิยาห์โอรสองค์ที่สี่อ้างสิทธิ์เป็นผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดาโดยมีแม่ทัพโยอาบและอาบียาธาห์มหาปุโรหิตสนับสนุน (1พงศ์กษัตริย์ 1.5,7)
แต่ผู้เผยพระวจนะนาธัน มหาปุโรหิตศาโดก และเหล่าทหารบางส่วนชอบซาโลมอนมากกว่า พระนางบัทเชบาทูลขอให้ดาวิดแต่งตั้งซาโลมอนเป็นกษัตริย์ ซาโลมอนจึงเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล
3. กษัตริย์ซาโลมอนซาโลมอนปกครองอิสราเอลในเวลาที่ประเทศรุ่งเรือง และมีศัตรูเหลือประปราย เรื่องราวในรัชสมัยของพระองค์อยู่ในพระธรรม 1พงศ์กษัตริย์ 1-11 พระองค์ป้องกันมิให้เกิดการแตกแยกในอิสราเอลโดยการสั่งประหารอาโดนิยาห์คู่แข่งและแม่ทัพโยอาบผู้ให้การสนับสนุนอาโดนียาห์ (1พงศ์กษัตริย์ 2.19-25,28-35) แล้วเนรเทศปุโรหิตอาบียาธาร์ (1พงศ์กษัตริย์ 2.26-27) ซาโลมอนเสริมความแข็งแกร่งให้ราชอาณาจักรด้วยการสร้างป้อมปราการตามเมืองต่างๆ และนำเอารถรบมาใช้ป้องกันราชอาณาจักร (1พงศ์กษัตริย์4.26) ทำข้อตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านและยอมรับธิดาของกษัตริย์ต่าง ๆ มาเป็นมเหสี (1พงศ์กษัตริย์11.1-2) ซาโลมอนอาจส่งทองแดงเป็นสินค้าออก พระองค์ทำการค้ากับต่างประเทศที่ท่าเรือเอซีโอน-เกเบอร์
การค้าทางทะเลของซาโลมอนอาจเป็นการแข่งขันกันอย่างรุนแรงกับการค้าขายทางบกของพวกอาหรับสมัยนั้น พระราชินีแห่งเชบาดูเหมือนจะมาจากภาคตะวันออกของเยเมน เพื่อทำข้อตกลงทางการค้ากับซาโลมอน (1พงศ์กษัตริย์ 10.1-13) พระองค์ทรงเก็บภาษีจากบรรดากษัตริย์ของอาหรับ (1พงศ์กษัตริย์10.15) ซาโลมอนยังได้กำไรจากการค้าขายม้าและรถรบ (1พงศ์กษัตริย์10.28-29) แต่ทรงใช้เงินทองจากการค้าขายสำหรับการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ โครงการก่อสร้างที่สำคัญอยู่ที่เยรูซาเล็ม 1พงศ์กษัตริย์บทที่ 6 พูดถึงการก่อสร้างพระวิหารซึ่งเริ่มเมื่อประมาณ ก.ค.ศ. 959 และเสร็จใน 7 ปี (1พงศ์กษัตริย์ 6.37-38) และสร้างอาคารขนาดเดียวกันอีกแห่งหนึ่งคือ
"พระตำหนักพนาแห่งเลบานอน" ใช้เป็นคลังเก็บอาวุธ (1พงศ์กษัตริย์7.2 ,1016-17) ท้องพระโรงเสาหาญสำหรับเก็บสมบัติและท้องพระโรงพระที่นั่งสำหรับประทับเวลาพิพากษาคดีความ (1พงศ์กษัตริย์7.6-7) นอกจากนี้แล้วยังสร้างวังอีก 2 แห่ง แห่งหนึ่งสำหรับกษัตริย์และอีกแห่งสำหรับธิดาของฟาโรห์มเหสีของพระองค์ สร้างปูชนียสถานสำหรับเทพเจ้าต่างๆ ที่มเหสีต่างชาติทั้งหลายนับถือ (1พงศ์กษัตริย์11.7-8)
ซาโลมอนมีความทะเยอทะยานจนเลยเถิด ทรงทำสิ่งต่าง ๆ มากเกินไปทำให้ค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายรับ จึงขึ้นภาษีอย่างหนัก และแบ่งประเทศเป็น 12 เขตต่างกับการแบ่งเป็น 12 เผ่าเดิม และแต่งตั้งข้าหลวงออกไปดูแลเพื่อหาเสบียงสำหรับใช้ในวัง (1พงศ์กษัตริย์4.7-19) ทรงออกคำสั่งเกณฑ์ผู้ชายให้ทำงานในโครงการก่อสร้าง ในกองทัพและช่วยงานในราชสำนัก (1พงศ์กษัตริย์9.15-22) ทำให้ประชาชนไม่พอใจมาก
ข้าราชการคนหนึ่งชื่อเยโรโบอัมเชื่อว่าตนสามารถก่อการกบฏได้ โดยมีผู้เผยพระวจนะอาหิยาห์เป็นผู้สนับสนุน แต่ซาโลมอนมีอำนาจมากจนเยโรโบอัมต้องหนีไปอยู่ที่ประเทศอียิปต์ (1พงศ์กษัตริย์ 1.28-40) ซาโลมอนมีหนี้มากจนต้องยกหัวเมืองกาลิลียี่สิบหัวเมืองให้แก่ฮีรามแห่งไทระเพื่อชำระหนี้ (1พงศ์กษัตริย์9.10-14) ประชาชนไม่พอใจการปกครองของซาโลมอน แต่เนื่องจากพระองค์เข้มแข็งและประชาชนคิดว่าพระองค์เป็นราชโอรสของดาวิดจึงไม่ก่อเหตุร้าย ครั้นซาโลมอนสิ้นพระชนม์ลงจึงพากันต่อต้านเรโหโบอัมโอรสของพระองค์อย่างเปิดเผย
3. กษัตริย์ ผู้เผยพระวจนะ และปุโรหิต
สมัยที่อิสราเอลเป็นราชอาณาจักรเดียวกันอยู่นั้น ศาสนาได้รับการจัดตั้งอย่างดี มีผู้นำสามพวกเป็นเสาหลักในการปกครองประเทศคือ กษัตริย์ ผู้เผยพระวจนะ และปุโรหิต
1. กษัตริย์กษัตริย์ของอิสราเอลมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการเมือง ภารกิจที่สำคัญคือการรวมอิสราเอล 12 เผ่าให้เป็นปึกแผ่น สามารถเอาชนะศัตรู กษัตริย์ต้องได้รับการรับรองจากพระเจ้า ซามูเอลเป็นผู้แต่งตั้งกษัตริย์ เพราะอิสราเอลรู้ว่าท่านพูดในพระนามพระเจ้าเสมอ พวกเขายอมรับบุคคลที่ท่านเลือกให้เป็นกษัตริย์ พิธีแต่งตั้งกษัตริย์ด้วยการใช้น้ำมันเจิม เป็นหมายสำคัญแสดงว่า กษัตริย์เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ชัยชนะในการทำสงครามเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ากษัตริย์เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกและแต่งตั้งจริง
2. ผู้เผยพระวจนะคำว่า "ผู้เผยพระวจนะ" ในภาษาฮีบรูหมายถึงคนหลายประเภท ซึ่งมีส่วนในศาสนาของอิสราเอลต่างกันซึ่งมีทั้งที่เป็นปัจเจกบุคคลและเป็นกลุ่ม ดังนี้
ก. ผู้ทำนาย (Seers) มีหลายคนที่สามารถ "มองเห็น" ความจริงเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้ดีกว่าคนอื่นและตีความได้ คนเหล่านี้ทำงานโดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินหรือสิ่งของ (กันดารวิถี 22.7, 1ซามูเอล 9.6-8) บางครั้งพวกเขาก็กล่าวพระวจนะที่สำคัญให้กับพวกอิสราเอล กันดารวิถี 23.22-24,1 ซามูเอล10.1) ผู้ทำนายมีญาณพิเศษที่พระเจ้าประทานให้ (1ซามูเอล 3.15-18) ผู้ทำนายที่ได้รับการสำแดงจากพระเจ้าจะรู้สึกว่าตนมีพันธะต้องบอกความจริงแก่ผู้อื่น (1ซามูเอล 19-21)ข. กลุ่มผู้เผยพระวจนะ (The bands of prophets) เป็นกลุ่มที่มักจะอยู่ร่วมกันในสถานนมัสการทั่วไปเช่น ที่กิลกาลและกิเบอาห์ (2พงศ์กษัตริย์ 4.38, 1ซามูเอล 10.10, 2พงศ์กษัตริย์ 2.5) พวกนี้ใช้การเล่นดนตรีเพื่อเร้าใจให้พร้อมสำหรับการเผยพระวจนะ (1ซามูเอล 10.5-6) (บางทีก็เรียกกลุ่มนี้ว่า "บุตรผู้เผยพระวจนะ" ) กลุ่มนี้ไม่ได้รับการยกย่องมากนัก (2พงศ์กษัตริย์ 9.11) งานที่ยอดเยี่ยมจะเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงใช้และดลใจให้พวกเขาเผยพระวจนะจริงๆ ซึ่งมีความสำคัญต่อบ้านเมือง และมักจะกล่าวออกมาในรูปแบบของคำประพันธ์ เช่น สดุดี 12.5, 14.4, 81.6-15 แต่บ่อยครั้งกลุ่มนี้ก็พูดเพ้อเจ้อ และกล่าวคำทำนายเท็จ เพื่อเอาใจประชาชนเพราะเห็นแก่สิ่งตอบแทน (อิสยาห์ 28.7 เยเรมีย์ 5.31, 6.13)ค. ผู้เผยพระวจนะที่เป็นปัจเจกบุคคล (The individual prophets) คนเหล่านี้เราเรียกกันว่า "ผู้เผยพระวจนะ" หรือ "ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า" เช่น นาธัน เอลียาห์ อิสยาห์ เอเสเคียล ฮักกัย และมาลาคี ผู้เผยพระวจนะมีฐานะและบทบาทสำคัญมาก เมื่อกษัตริย์อยากรู้ว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ทำเช่นไรก็จะขอคำปรึกษาและการชี้นำจากผู้เผยพระวจนะ
ผู้เผยพระวจนะนาธันเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ เมื่อดาวิดต้องการสร้างพระวิหารก็ขอคำปรึกษาจากนาธันก่อน แต่เมื่อนาธันไม่ให้สร้างก็ทรงเชื่อฟัง (2ซามูเอล 7.1-7)
ผู้เผยพระวจนะรุ่นก่อนทำหน้าที่เป็นผู้พูดแทนพระเจ้า และมีหน้าที่เรียนรู้จักน้ำพระทัยพระเจ้าที่ทรงมีสำหรับประเทศบ้านเมืองของพวกเขา และคอยตักเตือนและหนุนใจพวกเขา
3. ปุโรหิตปุโรหิตมีหน้าที่นำประชาชนนมัสการพระเจ้า และจัดระเบียบให้พวกเขานมัสการอย่างถูกต้อง สิ่งสำคัญที่สุดในการนมัสการคือการถวายเครื่องบูชา ไม่ใช่ปุโรหิตเท่านั้นที่ถวายเครื่องบูชาได้ (ผู้วินิจฉัย 5.22-24, 13.09) ปุโรหิตมีหน้าที่เรียนรู้และตีความกฎระเบียบเกี่ยวกับการถวายเครื่องบูชา เพื่อแนะนำและสั่งสอนผู้อื่น หน้าที่ปุโรหิตเป็นความรับผิดชอบของคนในตระกูลอาโรน เผ่าเลวี (เฉลยธรมบัญญัติ 33.8-10) มีการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติในการนมัสการโดยละเอียด สืบต่อกันมาภายในตระกูลนี้ พวกเขาใช้ ทูมมิม และ อูริม เป็นฉลากศักดิ์สิทธิ์เพื่อเสี่ยงทายเพื่อหาคำตอบเมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับข้อปฏิบัติในการนมัสการพระเจ้า (กันดารวิถี27.21, 1ซามูเอล 14.41) บรรดาปุโรหิตทำงานสืบทอดกันมาแต่ดั้งเดิม ยังคงทำงานอยู่ในบริเวณต่าง ๆ ทั่วอาณาจักร

-----------------------------------------------------------------------------------------------
อำนาจของพวกฟีลิสเตีย (คำถาม 1) กษัตริย์ของอิสราเอล (คำถาม 2)
กษัตริย์ ผู้เผยพระวจนะ และปุโรหิต (คำถาม 3)

บทที่ 4 อิสราเอล 12 เผ่า

บทที่ 4 อิสราเอล 12 เผ่า (ประมาณ ก.ค.ศ. 1250 - 1000)
1. แผ่นดินพระสัญญา
"ดังนั้นแหละ พระเจ้าประทานแผ่นดินทั้งสิ้นแก่คนอิสราเอล ดังที่พระองค์ทรงปฏิญาณว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของเขา" (โยชูวา 21.43 )
ในบทนี้เราจะศึกษาว่าพวกอิสราเอลเข้าไปตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ได้อย่างไร ข้อมูลส่วนใหญ่อยู่ในพระธรรมโยชูวาและผู้วินิจฉัย
คนสมัยโบราณเรียกปาเลสไตน์ว่าแผ่นดินคานาอัน พวกอิสราเอลเรียกประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่นก่อนที่ตนจะเข้าไปตั้งหลักแหล่งว่า "ชาวคานาอัน" และ "ชาวอาโมไรต์" ในแผ่นดินคานาอันมีชนหลายชาติอาศัยอยู่ที่นั่นมานานแล้ว(โยชูวา 3.10 ) ประชาชนในแผ่นดินนี้มีอารยธรรมสูงมาก เมืองต่างๆ สร้างขึ้นอย่างดี ทุกเมืองมีเจ้าเมืองปกครองและมีพื้นที่เกษตรกรรมขนาดย่อมอยู่ใกล้เคียง มีการติดต่อค้าขายกับ อียิปต์ เมโสโปเตเมีย และกรีก ชาวคานาอันเป็นพวกแรกที่ประดิษฐ์ตัวอักษรที่ใช้เขียนบนที่ราบแบนได้ ก่อนหน้านั้นถ้าจะเขียนถึงอะไรก็ต้องเขียนรูปภาพของสิ่งนั้น
ชาวคานาอันมีพระสูงสุดองค์หนึ่งเรียกว่า "เอล" แต่ส่วนใหญ่จะนมัสการพระบาอัล การนมัสการของชาวคานาอันกระทำกันในรูปแบบการใช้ความรุนแรงทางเพศ โดยเชื่อว่าการกระทำเช่นนั้นจะทำให้ไร่ นา ฝูงสัตว์และครอบครัวของตนเกิดผลและมีลูกดก
ก่อน ก.ค.ศ. 1250 อียิปต์ครอบครองคานาอันบ่อยครั้ง ฟาโรห์หลายองค์ปราบปรามเจ้าเมืองต่างๆ ของคานาอันลงเป็นข้าทาสบริวารและบังคับให้ส่งส่วย โดยพระองค์ส่งกองทัพไปคุ้มครองเป็นการตอบแทน ยามใดที่อียิปต์อ่อนกำลังลง บรรดาเจ้าเมืองก็เดือดร้อน บ่อยครั้งพวกเขาไม่สามารถรักษาอำนาจของตนไว้ได้ มักถูกเจ้าเมืองหรือชนกลุ่มใหม่ที่ต้องการเข้ามาตั้งหลักแหล่งในคานาอันบุกโจมตี ตอนที่อิสราเอลเข้าไปตั้งหลักแหล่งในคานาอันก็เป็นช่วงที่อียิปต์หมดอำนาจ
ฟาโรห์เมอร์เนปทาห์แห่งอียิปต์พยายามเข้าควบคุมปาเลสไตน์อีกครั้ง แต่ก็ถูกชาวทะเลศัตรูกลุ่มใหม่บุกเข้าโจมตี ชาวทะเลที่ว่านี้มีพวกฟิลิสเตียรวมอยู่ด้วย อียิปต์พบว่ายากที่ตนจะป้องกันประเทศให้พ้นจากการรุกรานของชาวทะเล จึงยอมให้เข้าไปตั้งหลักแหล่งในคานาอัน พวกฟิลิสเตียได้สร้างเมืองขึ้นมา 5 เมือง คือ กาซา อัชเคโลน อัชโดด เอโครน และกัท
เพราะอียิปต์อ่อนกำลังลงทำให้ปาเลสไตน์วุ่นวาย บรรดาผู้บุกรุกกลุ่มใหม่เข้ามายึดครองเมืองต่างๆ และสร้างขึ้นใหม่อีกหลายเมือง บริเวณที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดคือบริเวณที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลและที่ราบเอสเดรอีโลน บริเวณนอกปาเลสไตน์ก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วย ชาวเอโดมและชาวโมอับได้สถาปนาราชอาณาจักรของตนขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศตะวันออกของทะเลตาย บริเวณทะเลทรายก็มีเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์อาศัยอยู่ เช่น พวกมีเดียนและอามาเลข
ในระยะนั้นไม่มีประเทศใดในเมโสโปเตเมียเข้มแข็งพอที่จะมีอิทธิพลอยู่ได้นาน
2. อิสราเอล 12 เผ่าหลักแหล่งในปาเลสไตน์
อิสราเอลเข้าไปยึดครองคานาอันตอนปลายยุค ระหว่าง ก.ค.ศ. 1250-1000 พระธรรมโยชูวาเล่าถึงวิธีที่โยชูวานำอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนและเข้ายึดเมืองเยรีโค(โยชูวา1-5) อิสราเอลสามารถพิชิตเมืองต่างๆ ที่อยู่บนเนินเขาด้านเหนือและด้านใต้ของเยรูซาเล็ม (โยชูวา 7-10) และพูดถึงชัยชนะที่ภาคเหนือของปาเลสไตน์คือบริเวณรอบๆ เมืองฮาโซร์(โยชูวา 11) หลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าเมืองต่าง ๆ เช่น เดบีร์ ลาคิช และฮาโซร์ ถูกทำลายในช่วงนี้ รวมทั้งเบธเอล แต่ไม่ใช่เมืองอัย
1. การแบ่งดินแดนสองสามบทสุดท้ายของพระธรรมโยชูวาเป็นเรื่องการแบ่งดินแดนกันระหว่างอิสราเอล 12 เผ่า มีบางตอนบอกว่าอิสราเอลพิชิตปาเลสไตน์ไม่หมด ที่น่าสังเกตก็คือ แม้ว่าอิสราเอลจะเข้าไปตั้งหลักแหล่งในปาเลสไตน์ได้แล้ว แต่ก็มีเมืองของชาวคานาอันเป็นจำนวนมากที่ยังเป็นเอกราชอยู่เหมือนเดิม (โยชูวา 13.1-6 , 13 , 15.63, 16.10, 17.11-13) พระธรรมผู้วินิจฉัยบทแรกก็ยืนยันความจริงนี้ ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนว่าอิสราเอล 12 เผ่าไม่สามารถยึดปาเลสไตน์เป็นของตนได้ทั้งหมด (ผู้วินิจฉัย 1.29-36)
เพื่อจะเข้าใจเรื่องในช่วงนี้ เราต้องสังเกตสิ่งที่พระธรรมโยชูวาไม่ได้บอกไว้ ดังนี้
1. ไม่ได้เขียนไว้ว่าอิสราเอลต่อสู้เพื่อยึดครองบริเวณชายฝั่งทะเลของปาเลสไตน์ คนพวกนั้นเข้มแข็งเกินที่จะเอาชนะได้ (โยชูวา13.2-3)2. ไม่ได้พูดถึงทุ่งราบเอสเดรอีโลนซึ่งอยู่ในหุบเขาคีโชน ที่นั่นมีชาวคานาอันและอาโมไรต์อยู่หนาแน่นเกินกว่าอิสราเอลจะยึดครอง3. ไม่ได้พูดถึงการยึดเมืองชิโลห์และเชเคมซึ่งสองเมืองนี้มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์อิสราเอล
พระธรรมโยชูวา 24 บอกว่าทุกเผ่าผูกพันกันโดยพันธสัญญาที่ทำกับพระเจ้าร่วมกัน โยชูวาเรียกเผ่าต่างๆ มาประชุมกันที่เมืองเชเคม ขอให้พวกเขาละทิ้งพระเทียมเท็จและทำสัตยาบันร่วมกันว่าจะเชื่อฟังพระเจ้า ความเป็นเอกภาพทางศาสนาคือสิ่งยึดเหนี่ยวสิบสองเผ่าไว้มั่นและทำให้เกิดความรับผิดชอบซึ่งกันและกัน ภายหลังเมืองชิโลห์กลายเป็นศูนย์กลางที่เผ่าต่างๆพากันมานมัสการพระเจ้าร่วมกัน เผ่าเลวีกลายเป็นชุมชนที่รับผิดชอบด้านศาสนาจึงไม่ได้รับดินแดนเป็นส่วนแบ่งโดยเฉพาะ แต่กระจายกันอยู่ในดินแดนของเผ่าต่าง ๆ
พระธรรมผู้วินิจฉัยเล่าเรื่องอิสราเอล 12 เผ่าต่อ และบันทึกเรื่องความทุกข์ลำบากต่างๆที่พวกเขาต้องเผชิญขณะที่เข้าไปยึดครองปาเลสไตน์ ผู้เขียนพระธรรมผู้วินิจฉัยแสดงให้เห็นว่าเมื่อใดที่เผ่าต่างๆเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาก็เข้มแข็งขึ้น แต่เมื่อใดที่ไม่รับใช้พระองค์ก็จะอ่อนแอลง
2. ภารกิจของผู้วินิจฉัยผู้วินิจฉัยคือผู้ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เป็นผู้นำเผ่าต่างๆ ทำสงครามกับศัตรู เมื่อใดที่มีผู้วินิจฉัยเป็นผู้นำ พวกเขาก็เข้มแข็งขึ้น และตระหนักได้ว่าพวกเขาต้องรับใช้พระเจ้าและรับใช้ซึ่งกันละกัน พระธรรมผู้วินิจฉัยพูดถึงวิธีที่อิสราเอลเผ่าต่างๆ จัดการกับศัตรูทั้งหลายในยุคนั้น เพื่อจะรักษาแผ่นดินไว้ให้ได้มากพอสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยและทำมาหากินเป็นหลักแหล่ง และเพื่อให้ชีวิตของพวกตนมีความสุขความเจริญ
3. ศัตรูของอิสราเอล
1. พวกฟิลิสเตีย มีผู้วินิจฉัยสองคนที่ต่อสู้กับพวกฟิลิสเตียคือ ชัมการ์ ประมาณ ก.ค.ศ. 1150 (วนฉ 3.31) และแซมสัน (วนฉ 13.1-16.31) ท่านทำงานแบบกองโจรไม่ใช่แบบกองทัพ2. พวกคานาอัน เดโบราห์เป็นผู้ปลุกระดมเผ่าต่างๆ ที่อยู่ทางภาคกลางและภาคเหนือของปาเลสไตน์ให้ลุกขึ้นต่อสู้กับพวกคานาอันที่ทุ่งราบเอสเดรอีโลนจนได้ชัยชนะ มีเรื่องนี้เล่าไว้ 2 สำนวน คือแบบร้อยแก้ว(ผู้วินิจฉัย บทที่ 4 ) และแบบร้อยกรอง (ผู้วินิจฉัยบทที่ 5) 3. เผ่าต่าง ๆ ที่พูดภาษาอารัม สามราชอาณาจักรที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนทำสงครามกับอิสราเอล ช่วงนี้ด้วย
ก. โอทนีเอล รบชนะกษัตริย์แห่งเอโดม ประมาณ ก.ค.ศ. 1200 (วนฉ 3.7-11)ข. เอฮูด สังหารกษัตริย์แห่งโมอับ ก.ค.ศ. 1175 (วนฉ 3.12-30)ค. เยฟธาห์ ประมาณ ก.ค.ศ. 1050 นำกองทัพต่อสู้กับชาวอัมโมน (วนฉ 10.6-12.7)
4. ชนเผ่าเร่ร่อนผู้บุกรุก กิเดโอน นำกองกำลังอิสราเอลขนาดย่อมต่อสู้กับพวกมีเดียนและอามาเลข ซึ่งบุกรุกดินแดนอิสราเอลและขโมยพืชผลอยู่เสมอ (ประมาณ ก.ค.ศ. 1100) กิเดโอนขับไล่ผู้บุกรุกออกจากปาเลสไตน์ได้สำเร็จ ทำให้เผ่าต่างๆบรรเทาความเดือดร้อนลง (วนฉ 6.1-8.35)
พระธรรมผู้วินิจฉัยแสดงให้เห็นว่าอิสราเอล 12 เผ่าสามารถต่อสู้กับศัตรูได้เป็นอย่างดี และประสบชัยชนะครั้งสำคัญอยู่หลายหน แต่พวกฟิลิสเตียก็ยังคงมีอำนาจเกินกว่าที่พวกเขาจะปราบให้ราบคาบได้
3. พระเจ้าจอมโยธา
อิสราเอล 12 เผ่ารู้ดีว่าพวกตนเป็นของกันและกัน เพราะต่างก็นับถือและนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระนามว่ายาห์เวห์องค์เดียวกัน พวกเขาทำพันธสัญญากับพระเจ้าร่วมกันที่เมืองเชเคม และปฏิญาณว่าจะปรนนิบัติรับใช้พระองค์เท่านั้น (โยชูวา 24) ก่อนหน้านี้มีบางคนที่เข้าร่วมพิธีพันธสัญญาอาจจะรู้เพียงแต่ว่าพระองค์ทรงพระนามว่า "เอล" ภายใต้การนำของโยชูวาทุกคนเห็นพ้องกันว่าควรจะเรียกพระนามพระองค์ว่า "ยาห์เวห์" (เยโฮวาห์)
มีอยู่สามสิ่งที่สำคัญมากเป็นพิเศษในศาสนาของอิสราเอล 12 เผ่าในช่วงนี้ คือ หีบพันธสัญญา หนังสือพันธสัญญา และเทศกาลต่างๆ
1. หีบพันธสัญญาหีบพันธสัญญาเป็นหัวใจหรือศูนย์กลางที่สร้างความเป็นเอกภาพให้เกิดขึ้นในการนมัสการพระเจ้า สมัยที่อิสราเอลตั้งหลักแหล่งใหม่ๆ หีบนี้อาจเก็บไว้ที่กิลกาล (โยชูวา4.15-24) ภายหลังจึงย้ายไปเก็บที่เมืองเบธเอล (ผู้วินิจฉัย 20.27) ในสมัยซามูเอลหีบนี้เก็บไว้ที่เมืองชิโลห์ (1ซามูเอล3.3) โดยเชื่อว่าหีบใบนี้มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับพระเจ้าจึงมีฤทธานุภาพอยู่ในตัว ดังนั้นในยามเกิดสงคราม พวกเขาจะหามหีบพันธสัญญานำหน้ากองทัพเพื่อบำรุงขวัญบรรดานักรบของพระเจ้า (1 ซามูเอล 4.5-9) และใช้พระนามใหม่ที่เกี่ยวข้องกับหีบพันธสัญญาว่า "ยาห์เวห์ สะบาโอธ" แปลว่า "พระเจ้าจอมโยธา" แสดงว่า พระเจ้าทรงจอมทัพของพวกเขา (1ซามูเอล 4.4)
2. หนังสือพันธสัญญาเมื่ออิสราเอลตั้งหลักแหล่งในปาเลสไตน์แล้ว ก็เริ่มต้นดำเนินชีวิตแบบใหม่ เลิกอาชีพเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์หันมาเป็นชาวไร่ชาวนา พระบัญญัติ 10 ประการยังมีความสำคัญ แต่พวกเขาจำเป็นต้องมีกฎระเบียบสำหรับการดำเนินชีวิตบนเส้นทางใหม่ บรรดาผู้นำทั้งหลายอาจสนองความต้องการนี้โดยการนำเอาคำสั่งสอนที่มีอยู่ในพระธรรม อพยพ20.22-23.33 มาแนะนำให้ใช้ สี่บทนี้มักจะเรียกกันว่า "หนังสือพันธสัญญา" กฎหมายบางอย่างในอพยพสี่บทดังกล่าวคล้ายคลึงกับกฎหมายของชนเผ่าอื่นๆในสมัยโบราณที่ตั้งบ้านเมืองอาศัยเป็นหลักแหล่ง ตามปกติกฎหมายดังกล่าวจะมีรูปแบบดังนี้ "ถ้าผู้ใด....... ผู้นั้นต้อง" แสดงให้ประชาชนรู้ว่าควรประพฤติตนในสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร แต่ก็มีกฎหมายบางข้อที่มีรูปแบบเหมือนบัญญัติ 10 ประการคือ "จง และ อย่า" ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกฎหมายรูปแบบใหม่ แสดงว่าอิสราเอลต่างกับชนชาติอื่น
หนังสือพันธสัญญาบอกไว้อย่างชัดเจนว่า อิสราเอลต้องรับใช้พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ต้องไม่นมัสการพระของชาวคานาอัน(อพยพ 22.20 23.13) กฎหมายบางข้อตักเตือนอิสราเอลมิให้นำประเพณีของชาวคานาอันมาใช้ในการนมัสการพระเจ้า (อพยพ 22.18 , 23.18)
กฎหมายข้ออื่นๆ สนับสนุนให้มีความเมตตากรุณาต่อคนที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเช่น คนแปลกหน้า (อพยพ22.21, 23.9) หญิงหม้ายและลูกกำพร้า (อพยพ 22.22) คนยากจน (อพยพ 22.25-27, 23.3)และทาส(อพยพ21.1-11)
3. เทศกาลเลี้ยงสามอย่างหนังสือพันธสัญญาพูดถึงเทศกาลประจำปีสามอย่างที่ประชาชนอิสราเอลต้องเลี้ยงฉลองกัน (อพยพ23.14-17) พระธรรมอพยพ 34.18-พูดถึงเทศกาลต่างๆ ไว้คล้าย ๆ มีสองเทศกาลคือกินขนมปังไร้เชื้อและเทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยว ซึ่งฉลองกันในฤดูใบไม้ผลิ คือต้นฤดูและปลายฤดูเก็บเกี่ยวธัญพืช ส่วนอีกเทศกาลหนึ่งคือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บพืชผลปลายปี กระทำกันในฤดูใบไม้ร่วง เทศกาลทั้งสามนี้เหมาะกับชุมชนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดตามฤดูกาล
เมื่อพวกอิสราเอลเข้าไปตั้งหลักแหล่งในปาเลสไตน์และเริ่มใช้เทศกาลทั้งสามนี้ในการนมัสการพระเจ้า เทศกาลปัสกาฉลองเวลาเดียวกับเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ทั้งสองกลายเป็นเทศกาลใหญ่ในอิสราเอล เรื่องการอพยพกับเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อถูกโยงเข้าด้วยกันในความคิดของอิสราเอล ต่อมาอีกสองเทศกาลก็ไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ของชาติ เทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยวผลแรกกลายเป็นเทศกาลเพนเทคศเตซึ่งเป็นเทศกาลสำหรับรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พระเจ้าประทานพระบัญญัติให้แก่พวกเขาที่ภูเขาซีนาย เทศกาลฉลองการเก็บพืชผลปลายปีกลายเป็นเทศกาลอยู่เพิงหรืออยู่เต็นท์ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ตอนที่อิสราเอลเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ดังนั้นเทศกาลเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมทั้งสามนี้จึงกลายเป็นโอกาสที่อิสราเอลจะรำลึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากการเป็นทาสที่อียีปต์ และตั้งให้พวกเขาเป็นประชาชนพิเศษของพระองค์ เทศกาลเลี้ยงในฤดูใบไม้ร่วงอาจกลายเป็นเวลาที่กำหนดให้เผ่าต่างๆ มาชุมนุมกันทุกปีที่ชิโลห์สถานที่เก็บหีบพันธสัญญา และกลายเป็นเวลาที่กำหนดให้มีการรื้อฟื้นพันธสัญญาในฐานะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าองค์เดียวกัน (เฉลยธรรมบัญญัติ 31.9-13, 1 ซามูเอล 1.3)

บทที่ 3 การอพยพ


บทที่ 3 การอพยพ (ก.ค.ศ. 1550-1250)

1. หลักฐานการอพยพ
พวกยิวคิดอยู่เสมอว่าการอพยพออกจากประเทศอียิปต์เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขา พระธรรมอพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี และเฉลยธรรมบัญญัติ พูดถึงข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงนำพวกอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ บรรดาผู้เขียนประวัติศาสตร์อิสราเอลต่อจากเรื่องการอพยพ ตามที่ปรากฏในพระธรรมโยชูวา ผู้วินิจฉัย 1-2 ซามูเอล และ 1-2 พงศ์กษัตริย์ พูดถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนลูกหลานบรรพชนต้นตระกูลอิสราเอลให้พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นชนชาติหนึ่งในโลกได้สำเร็จ พวกผู้เผยพระวจนะใหญ่ เช่น อิสยาห์ เยเรมีย์ เอเสเคียล และพวกผู้เผยพระเวจนะน้อย เตือนสติผู้ฟังให้รำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนที่อิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ ผู้แต่งเพลงสดุดีหลายคนก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องเดียวกันนี้
แต่บันทึกของชาวอียิปต์กลับไม่ได้เอ่ยถึงเลย คงจะเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ได้ เรื่องนี้ทำให้ค่อนข้างยากที่จะแน่ใจได้ว่าการอพยพเกิดขึ้นจริงหรือไม่ นักวิชาการบางคนเห็นว่า เรื่องต่าง ๆ ในพระธรรมอพยพเป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกอิสราเอล
นักวิชาการบางคนเห็นว่าเรื่องภูเขาซีนายไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการอพยพหรือการเดินทางเข้าสู่แผ่นดินพระสัญญาเลย แต่จากสิ่งที่เราศึกษาในพระคัมภีร์ และจากทัศนะคติที่สืบทอดกันมา เรื่องการอพยพออกจากอียิปต์ การทำพันธสัญญาที่ภูเขาซีนาย อิสราเอลพเนจรอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และการเข้าสู่แผ่นดินพระสัญญา ล้วนเป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเกี่ยวข้องกัน
1. โยเซฟขึ้นสู่อำนาจโยเซฟมีอำนาจในช่วงที่ราชวงศ์ฮีคสอสปกครองประเทศอียิปต์ กษัตริย์ราชวงศ์นี้เป็นชาวเซไมต์ เข้ามาในอียิปต์ครั้งแรกทางเอเซียตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ก.ค.ศ. 1720 และยึดครองอียิปต์ได้ทั้งหมดประมาณ ก.ค.ศ. 1690 แล้วตั้งเมืองหลวงของตนขึ้นที่อาวาริสบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำไนล์ พวกเขาแผ่อำนาจไปถึงปาเลสไตน์ เนื่องจากคนพวกนี้มาจากเผ่าเดียวกันกับอิสราเอล จึงเป็นธรรมดาที่จะยอมให้โยเซฟเป็นผู้นำ
2. อิสราเอลตกเป็นทาสพวกฮิคสอสปกครองอียิปต์นานประมาณหนึ่งร้อยปี แล้วพวกอียิปต์ที่อยู่ตอนบนของประเทศก็แยกตัวเป็นอิสระไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของฮิคสอส จนในที่สุดก็สามารถยึดเมืองอาวาริสได้สำเร็จเมื่อประมาณ ก.ค.ศ. 1550 และขับไล่พวกฮิคสอสออกจากอียิปต์ กษัตริย์องค์ใหม่ที่ขึ้นครองราชย์ไม่รู้จักโยเซฟ จึงเกิดการกดขี่ข่มเหงพวกอิสราเอลอย่างหนัก
3. การสร้างเมืองต่าง ๆ เพื่อจะค้นดูว่าช่วงเวลาที่พวกอิสราเอลเป็นทาสในอียิปต์นานเท่าใด เราต้องตรวจสอบจากหลักฐานการก่อสร้างหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อเก็บราชสมบัติของฟาโรห์ คือเมืองปิธม เมืองราอัมเสส (อพยพ 1:11) ที่เมืองเบธชานในปาเลสไตน์มีหลักศิลาจารึกกล่าวถึงเรื่องราวในสมัยราอัมเสสที่ 2 (ก.ค.ศ. 1290-1223) พระองค์ทรงสร้างเมืองอาวาริสให้เป็นเมืองหลวงของพวกฮิคสอสสมัยโบราณ จากแผนที่จะเห็นได้ว่าเมืองอาวาริสกับเมืองปิธมตั้งขนาบอยู่สองข้างโกเชนบริเวณที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นสถานที่ซึ่งอิสราเอลอาศัยอยู่
4. เผ่าต่าง ๆ ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารโมเสสแต่งงานกับลูกสาวของเยโธรปุโรหิตของชาวมีเดียน (อพยพ 3:1) อิสราเอลต่อสู้กับคนอามาเลข (อพยพ 17:8-13) และเดินอ้อมดินแดนของชาวโมอับ (กดว. 21:10) ชาวมีเดียนกับอามาเลขเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ไม่มีที่อาศัยเป็นหลักแหล่ง จึงไม่ได้ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ให้นักโบราณคดีศึกษาประวัติศาสตร์สมัยโน้น ดังนั้นจึงไม่มีหวังจะได้หลักฐานที่บ่งชี้ถึงเรื่องราวของการอพยพจากความรู้เกี่ยวกับคนพวกนี้
5. ปาเลสไตน์เปิดให้เผ่าต่าง ๆ เข้าไปตั้งหลักแหล่งปาเลสไตน์เป็นสมรภูมิมาตลอดประวัติศาสตร์ บริเวณแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างอารยธรรมใหญ่ ๆ ในอียิปต์และเมโสโปเตเมีย ต่อมาก็รวมทั้งเอเซียไมเนอร์และยุโรป ไม่ว่าราชอาณาจักรใดที่เรืองอำนาจขึ้นมาในเอเซียตะวันตกเฉียงใต้สมัยโบราณ พวกเขาต่างก็พยายามจะเข้าควบคุมปาเลสไตน์ไว้ให้ได้ เพราะที่นั่นมีประโยชน์สำหรับเป็นแนวป้องกันศัตรูของประเทศ หรืออาจใช้เป็นที่ตั้งฐานทัพเพื่อโจมตีประเทศศัตรู
สมัยที่ฟาโรห์เมอร์เนปทาร์ปกครองอียิปต์ (ก.ค.ศ. 1223-1211) พระองค์ทรงชราภาพไม่สามารถควบคุมปาเลสไตน์ไว้ได้จึงเกิดการทำสงครามกัน ศิลาจารึกที่สร้างขึ้นหลังสงครามเสร็จสิ้นลงแล้วบันทึกไว้ว่า "อิสราเอลราบคาบลงแล้ว ไม่เหลือเชื้ออีกต่อไป" แสดงว่าในปี ก.ค.ศ. 1220 มีพวกอิสราเอลอยู่ในปาเลสไตน์แล้ว คนพวกนี้อาจจะเข้าไปอยู่ในปาเลสไตน์ก่อนรัชสมัยของฟาโรห์เมอร์เนปทาร์ คือเข้าไปอยู่ประมาณ ก.ค.ศ. 1240
6. เมืองต่าง ๆ ในปาเลสไตน์ที่ถูกทำลายอย่างที่เห็นแล้วว่าข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ได้มาจากซากวัสดุสิ่งของในชั้นดินต่าง ๆ ที่ปาเลสไตน์ นักโบราณคดีขุดค้นลงไปในชั้นดินพบว่ามีเมืองจำนวนมากถูกเผาทำลายประมาณปลายศตวรรษที่ 13 ก.ค.ศ. หลักฐานเหล่านี้เหมือนจะสนับสนุนเรื่องที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ เพราะมีเมืองเดอร์บี (ยชว.10:38-39) ลาคีช (ยชว.10:31-32) ฮาโซร์ (ยชว. 11:10) อยู่ในจำนวนนั้น ถ้าเมืองเหล่านี้ถูกทำลายโดยพวกอิสราเอลแล้ว ก็เท่ากับสนับสนุนข้อเสนอแนะที่บอกว่าเรื่องการอพยพออกจากอียิปต์เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 13 ก.ค.ศ.
7. เมืองเยรีโคและเมืองอัยหลักฐานจากเมืองเยรีโคและเมืองอัยมีลักษณะแตกต่างกันมาก แม้ว่าเมืองทั้งสองนี้จะมีความสำคัญในเรื่องการตั้งถิ่นฐานของพวกอิสราเอลในแผ่นดินคานาอันก็ตาม แต่ไม่มีหลักฐานว่าอิสราเอลเผาเมืองนี้ในศตวรรษที่ 13 ดูเหมือนว่าเยรีโคจะถูกทำลายตอนต้นศตวรรษที่ 15 ก.ค.ศ. และอีกครั้งประมาณก่อนกลางศตวรรษที่ 14 ก.ค.ศ. เล็กน้อย ส่วนเมืองอัยถูกทำลายก่อนหน้าเมืองเยรีโคเสียอีก คือก่อนศตวรรษที่ 20 ก.ค.ศ. และไม่เคยมีผู้คนเข้าไปอาศัยในเมืองนี้อีกเลย แต่ใกล้กับเมืองอัยมีเมืองเบธเอลตั้งอยู่ ห่างกันประมาณหนึ่งไมล์กว่า ประชาชนอาจจะจำสองเมืองนี้สับสนกันได้ง่าย
8. วันเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้หลักฐานส่วนใหญ่บ่งบอกว่าช่วงอพยพก่อนขึ้นในรัชสมัยของราอัมเสสที่ 2 (กคศ. 1290-1223) แต่หลักฐานบางชิ้นก็ไม่สนับสนุนทัศนะนี้ ผู้เขียนพระคัมภีร์หลายคนพยายามจะบอกว่าเรื่องอพยพเกิดขึ้นเมื่อใด โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
ตามที่ปรากฏในพระธรรมอพยพ 12:40 บอกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่โยเซฟและครอบครัวของท่านเข้าไปอาศัยอยู่ในอียิปต์แล้ว 430 ปีหรือประมาณปี ก.ค.ศ. 1260-1120
พระธรรม 1 พงศ์กษัตริย์ 6:1 บอกว่าเรื่องการอพยพเกิดขึ้นก่อนวางรากสร้างพระวิหาร 480 ปี พระวิหารสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ก.ค.ศ. 958 เรื่องการอพยพจึงเกิดขึ้นเมื่อประมาณ ก.ค.ศ. 1438 ซึ่งดูเหมือนว่าไกลเกินไป แต่คำว่า "480 ปี" อาจจะหมายถึง 12 ชั่วอายุคน เพราะอิสราเอลสมัยโน้นนับ 1 ชั่วอายุคนเท่ากับ 40 ปี แต่ตามความเป็นจริงแล้วหนึ่งชั่วอายุคนน่าจะเป็น 25 ปี มากกว่า ถ้าเช่นนั้น 12 ชั่วอายุคนก็เป็น 300 ปี ถ้าที่ผู้เขียนพระธรรม 1 พงศ์กษัตริย์บอกไว้นั้นหมายถึง 12 ชั่วอายุคนจริงก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าการอพยพเกิดขึ้นประมาณ ก.ค.ศ. 1258 ก็แสดงว่าเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 13 ก.ค.ศ.
พระคัมภีร์ตอนอื่นก็บอกปีที่อิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ไว้ด้วย เช่น ในปฐมกาล 15.12-16 บอกว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอีก 4 ชั่วอายุคน หนึ่งชั่วอายุคนเท่ากับ 100 ปี กาลาเทีย 3.17 บอกว่าเกิดขึ้นหลังจากที่พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัม 430 ปี แต่ทั้งสองตอนไม่สอดคล้องกับรายละเอียดที่เสนอไว้ในบทนี้